xs
xsm
sm
md
lg

ยูโอบีตั้งเป้าAUMปี51โต 1.2แสนล. เปิดขายFIFใหม่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ยูโอบีตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการขึ้นเป็น 120,000 ล้านบาท พร้อมขายกองทุนเอฟไอเอฟเดือนละ 1 กองทุน ล่าสุด เปิดตัว “กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้” เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างประเทศ อาทิ น้ำมันดิบ ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดไอพีโอระหว่าง 20-28 พ.ค.นี้ "วนา"ชี้ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงิน แถมมีผลตอบแทนที่ดี

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) ภายในปีนี้เพิ่มเป็น 120,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 80,000 ล้านบาท ซึ่งรวมกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund)
โดย แผนการดำเนินงานของปีนี้ บริษัทจะออกกองทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 7 กองทุน หรือเดือนละ 1 กองทุน โดยจะเน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) และจะเน้นเซกเตอร์ของสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก แต่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์เซกเตอร์ใดมีแนวโน้มเจริญเติบโตที่ดี ขณะเดียวกัน ยังจะเน้นขายกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์เดลี ด้วย

ล่าสุด บริษัทได้เปิดเสนอขาย“กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้” ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 20-28 พฤษภาคม 2551 มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท แต่ไม่ได้มีการคาดการณ์ผลการตอบรับไว้ อย่างไรก็ตามกองทุนดังกล่าวเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ และเคยลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงมาบ้างแล้ว และที่ผ่านมามีนักลงทุนแสดงความสนใจมาพอสมควร

ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนประเภท R1C ของกองทุน DB Platinum Commodity Euro ซึ่งเป็นกองทุนของ DB Platinum Advisors ประเทศลักเซมเบิร์ก โดยมีผลตอบแทนของกองทุนอ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ Fx Hedged Deutsche Bank Liquit Commodity Index-Mean Reversion Euro (After cost) ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ 4 หมวดได้แก่ หมวดพลังงาน หมวดโลหะมีค่า หมวดอุตสาหกรรม และหมวดสินค้าเกษตร ในสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดิบ ฮีททิ้งออยล์ ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลี ข้าวโพด ดังนั้นกองทุนดังกล่าวจึงเหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนที่ดีจากการจัดสรรเงินลงทุน ในดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ และต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

"การลงทุนในดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ กองทุนจะมีการขั้นตอนและวิธีการปรับพอร์ตลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเภท ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่า และเป็นวิธีที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสี่ยงจนเกินไป โดยในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดปรับตัวสูงขึ้นมากมา ก็จะมีการให้น้ำหนักการลงทุนลดลง ซึ่งอาจจะปรับลดพอร์ตลงทุนจนเหลือเท่ากับ 0 แต่หากสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดมีราคาที่ต่ำ ก็จะให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะว่าสินค้าโภคภัณฑ์ในแต่ละกลุ่มจะมีวัฏจักรราคาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการที่ให้น้ำหนักการลงทุนแบบคงที่ไม่ให้ผลที่ดีที่สุด ทำให้กองทุนจะมีการปรับพอร์ตทุกวัน เพื่อไม่ให้ Track ดัชนีไม่ให้ความแตกต่างมาก"

ส่วนน้ำหนักการลงทุน สิ้นสุด ณ วันที่ 1 เมษายน 2551 พบว่า DB Platinum Commodity Euro ลงทุนในน้ำมันดิบ 28.80% ฮีททิ้งออยล์ 16.20% ทองคำ 10.80% อะลูมิเนียม 32.50% ข้าวสาลี 2.70% และข้าวโพด 9.10%
ขณะที่ ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ณ วันที่ 30 เมษายน 2551 พบว่า สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 23.60% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 11.53% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 21.62% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 13.73% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 31.69% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 16.04% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 73.08% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 36.78% ผลตอบแทนย้อนหลัง 2 ปีอยู่ที่ 128.19% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 7.67% และสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 142.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 23.88%

นายวนา กล่าวว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวค่อนข้างดี เนื่องจากความไม่สมดุลของปริมาณการผลิตกับความต้องการจากความต้องการในการบริโภคของประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ราคาน้ำมันซึ่งมีราคาแพงขึ้น ความต้องการบริโภคสูงขึ้นกว่าปริมาณการผลิต โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น 5 เท่า ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันสูงกว่ากำลังการผลิต และต้นทุนการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นกว่าเท่าตัว โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 10 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นปริมาณน้ำมันที่น่าจะออกมามากจึงมีน้อยลงไปไม่ทันกับความต้องการ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นอีกเล็กน้อย และจะยืนอยู่ในระดับนี้ แต่หากมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เช่น กลุ่มประเทศอาหรับ ภัยธรรมชาติ อาจจะทำให้ราคาทรงตัว และลงไปไม่มาก โดยเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐและจะทำให้คนหันมาสนใจพลังงานจากธรรมชาติมากขึ้น โดยในระยะยาวพลังงานทางเลือก ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ในระยะสั้นและระยะกลางยังทรงตัว นอกจากนี้การที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้มีพื้นที่แห้งแล้งมากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรเพิ่มขึ้นในระยะยาว และยังถูกนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ขณะที่ความต้องการในข้าวโพดสูงขึ้น เพราะส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ทำพลังงานทางเลือก

“การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เพราะเงินเฟ้อจะสูงก็เพราะราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ฉะนั้น ถ้าเราลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ผลตอบแทนจาการลงทุนของเราก็ปรับตัวไปตามเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ยังเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนที่ดี เพราะมีความสัมพันธ์ที่ต่ำกับสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของเรา” นายวนา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น