xs
xsm
sm
md
lg

ชู"เครดิตลิงค์โน้ต-REITS" ช่องทางลงทุนหนีความผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกสมาคมบลจ.แนะนักลงทุน ปรับพอร์ตการลงทุนหนีความผันผวน ชี้กองทุนประเภท "สตรัคเจอร์โน้ต-เครดิตลิงค์โน้ต-REITS" น่าลงทุน ระบุแบงก์ออกเคมเปญดูดเงินไม่กระทบกองทุนรวม ย้ำถ้ายังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากก็ยังขายได้ "มาริษ" ตั้งเป้าปีนี้ อุตสาหกรรมโต 25%

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า แม้การลงทุนในต่างประเทศจะมีความความผันผวน แต่ยังมีหลายช่องทางที่สามารถลงทุนได้ เช่น การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ (REITS) ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจและในปัจจุบันบลจ.หลายแห่งเตรียมจัดตั้งกองทุนเพื่อไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินในต่างประเทศ (ECP) ได้รับความสนใจน้อยลง เพราะผลตอบแทนต่ำกว่า 3% แล้ว ใกล้เคียงกับการลงทุนในประเทศ ดังนั้นบลจ.คงต้องหาช่องทางการลงทุนหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น กองทุนที่หาผลตอบแทนอ้างอิงจากสตรัคเจอร์โน้ตหรือเครดิตลิงค์โน้ต เป็นต้น

“หลังจากเฟดได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่กองทุนที่จะนำเสนอแก่ผู้ลงทุนต้องปรับตามไปด้วย การลงทุนหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศปีนี้เหนื่อย เพราะผลตอบแทนลดลง จึงต้องมีการปรับโปรดักส์อื่นมาชดเชย อย่างสตรัคเจอร์โน้ต เครดิตลิ้งค์โน้ต หรืออสังหาฯ ในต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ ก.ล.ต. อนุญาตให้ไปลงทุนได้แล้วถึง 100% ซึ่งผลตอบแทนในช่วง 10-20 ปีอยู่ที่ประมาณ 20%” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ ยังกล่าวถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มออกแคมเปญดึงเงินฝาก เพื่อสำรองไว้ปล่อยกู้นั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากนัก หากบลจ.สามารถหาทางเลือกให้ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ โดยคาดว่าจะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมมากนักขณะที่มองว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวม,กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเติบโต 20-25% ใกล้เคียงกับปี 2550 ที่เติบโต 26.87%

สำหรับมุมมองที่มีต่อคณะรัฐมนตรีชุดนี้ เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนภาคเอกชนในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากความเชื่อมั่นของประชาชนเริ่มฟื้นตัว ทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมภาคการลงทุนก็จะมีการจ้างงานมากขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ มองว่ารัฐบาลน่าจะมองหาตลาดอื่นเพื่อส่งออกสินค้าไปนอกประเทศมากขึ้น ซึ่งภาครัฐก็คงจะต้องหารูปแบบในการดำเนินงานต่อไป ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็ส่งออกประมาณ 12%

'ครม.เศรษฐกิจก็มีพื้นฐานและประสบการณ์ในระดับหนึ่ง เราอย่าเพิ่งไปว่าครม.ใหม่หน้าตาไม่สวยและน่าจะสนับสนุนและส่งเสริมหรือรอดูการทำงานเขาไปก่อน' นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ กล่าวถึงความคืบหน้าตั้งกองทุนลงทุนโรงไฟฟ้าใช้แกลบ โดยเบื้องต้นคาดว่ามีโรงไฟฟ้าประมาณ 10 โรง มูลค่า 6,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาหารูปแบบและทางบลจ. ได้ออกไปดูโรงไฟฟ้ารวมสถานที่ไว้เบื้องต้นแล้ว แต่ไม่ขอบอกรายละเอียดในขณะนี้ ทั้งนี้ 1 โรงไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ โดยเบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะให้ผลตอบแทน 15% ต่อปี

นอกจากนี้ นายมาริษได้เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 25% ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศโดยตรงไม่ได้รับส่วนต่างเหมือนปีก่อน ทั้งนี้ นโยบายในปี 2551 ของธุรกิจกองทุนรวมยังได้มีการกำหนดแนวทางออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน(Voting Policy Guidelines) เพื่อสนับสนุนการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน และการจัดทำข้อมูลวัดผลการดำเนินงานกองทุนรวม เทียบให้เห็นกองทุนแต่ละประเภทที่มีนโยบายการลงทุนแบบเดียวกันไว้ด้วยกัน และเผยแพร่ในเว็บไซด์ของสมาคม ตามมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล(Lipper) ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภายในไตรมาส 2

ขณะเดียวกัน ยังมีการผลักดันการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการศึกษา(EMF) และเสนอทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายผ่านกองทุนประเภทต่างๆ ทั้งกองทุนที่มีในปัจจุบัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ และกองทุนรูปแบบอื่นๆ โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ลงทุน

สำหรับผลประกอบการธุรกิจกองทุนในปี 2550 ว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ปี 2550 อยู่ที่ 2,228,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 27% จาก 1,756,255 ล้านบาทในปี 2549 ทั้งนี้ธุรกิจกองทุนรวมมีการเติบโตมากที่สุดถึง 31.80% อยู่ที่ 1,610,893 ล้านบาท จาก 1,222,270 ล้านบาทปีก่อน ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการเติบโต 14.24% อยู่ที่ 441,720 ล้านบาท จาก 386,657 ล้านบาทปีก่อน และกองทุนส่วนบุคคล มีการเติบโต 19.11% บาท อยู่ที่ 175,481 ล้านบาท จาก 147,328 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปี 2550 ธุรกิจกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ(FIF) ค่อนข้างได้รับความนิยมจากนักลงทุนสูง โดยยอดการเติบโตนับถึงไตรมาส 3/2550 อยู่ที่ 151.93% เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เพิ่มโอกาสและทางเลือก รวมถึงบริหารความเสี่ยงให้กับนักลงทุน โดยมีลักษณะเป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมของต่างประเทศ

ด้านผลตอบแทนของกองทุนรวมทั้งปี 2550 แยกตามประเภทกองทุนทั่วไป ได้แก่ กองทุนหุ้น กองทุนผสม และกองทุนตราสารหนี้ พบว่า ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดเปรียบเทียบได้แก่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ มีอัตราการเติบโตทั้งปีที่ 26.22% ซึ่งกองทุนหุ้นจำนวน 96 กองทุน สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึง 89 กองทุน โดยอันดับที่หนึ่ง สองและสาม อยู่ที่ร้อยละ 47.35 , 47.04 และ 46.92 ตามลำดับ

นอกจากนี้กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ลงทุนในหุ้นมีจำนวน 17 กองทุน สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึง 15 กองทุน โดยอันดับหนึ่ง สอง และสาม อยู่ที่ร้อยละ 46.68, 42.67 และ 47.16 ตามลำดับ ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) มีจำนวน 33 กองทุน สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 26 กองทุน โดยอันดับที่หนึ่ง สองและสาม อยู่ที่ร้อยละ 45.43, 44.44 และ 44.44 ตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น