xs
xsm
sm
md
lg

ออมสินเหมาหุ้นMFCจากTMB "พิชิต"มั่นใจได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งคู่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ออมสิน" จ้องเก็บหุ้นบลจ.เอ็มเอฟซีในสัดส่วน 11.68% ต่อจากธนาคารทหารไทย หลังสปส.ไม่สานต่อ แถมได้ไฟเขียวถือหุ้นเกิน 25% แล้ว "พิชิต" คาดใช้เงินลงทุนไม่เกิน 150 ล้านบาท และอาจจะต้องขอ ก.ล.ต.ผ่อนผันไม่ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ส่วนราคาคงขึ้นอยู่กับการตกลง เชื่อมั่นออมสินได้ประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกันในอนาคตแน่นอน

นายพิชิต อัคราทิตย์
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด หรือ MFC เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารออมสินจะเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทต่อจากธนาคารทหารไทย (TMB) ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ประมาณ 11.68% ในปัจจุบัน หลังจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่สนใจซื้อก่อนหน้านี้ยังไม่มีการสานต่อแต่อย่างใด โดยการซื้อหุ้นของธนาคารออมสินในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นที่ถือเดิมอยู่ประมาณ 24.50% ในปัจจุบัน หลังจากกระทรวงการคลังได้การแก้ไขหลักเกณฑ์ให้ออมสินซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสามารถถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนเกิน 25% ได้แล้ว

โดยจากการประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวไปบ้างแล้ว ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่ผ่านมาออมสินเองก็ต้องการถือหุ้นของเอ็มเอฟซีเกิน 25% อยู่แล้ว ประกอบกับ บลจ.เอ็มเอฟซี กับธนาคารออมสินก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกันเป็นอย่างดี

"ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าท้ายที่สุด ทางสปส. คงจะไม่เข้ามาถือหุ้นเราต่อจากทหารไทย ทำให้เป็นไปได้ว่าธนาคารออมสินจะเข้ามาถือแทน เพราะออมสินเองเขาต้องการถือหุ้นเรามากกว่า 25% อยู่แล้วแต่ยังติดเกณฑ์ที่ห้ามถือเกิน 25% เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการหารือกันไปบ้างแล้วในระดับเจ้าหน้าที่ และคงจะมีการหารือในรายละเอียดกันอีกครั้ง"นายพิชิตกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ธนาคารทหารไทยยังไม่มีการขายหุ้นดังกล่าวออกไป ทำให้ธนาคารมีบริษัทจัดการกองทุนในเครือรวม 3 บริษัท นอกเหนือจากบลจ.ทหารไทยและบลจ.เอ็มเอฟซีที่ถือหุ้นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเมื่อเร็วๆนี้เอง ธนาคารทหารไทยก็เพิ่งได้ผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามา ซึ่งมีบริษัทจัดการกองทุนรวมเข้ามาด้วย 1 รายนั่นคือ บลจ.ไอเอ็นจี ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่าธนาคารคงขายหุ้นของบริษัทออกมาในที่สุด เพราะคงไม่มีความจะเป็นต้องถือหุ้นในบริษัทจัดการกองทุนถึง 3 ราย

“ทางแบงก์ทหารไทยเองเขาไม่อยากจะถือหุ้นของ บลจ. หลายแห่ง เพราะตอนนี้เขาก็มีแล้ว ถึง 3 ราย จึงอยากขายหุ้นเราออกไป ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยไว้กับทาง ประกันสังคม เพียงแต่การเจรจาได้ยุติไปแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศการลงทุนช่วงที่ผ่านมาไม่เอื้ออำนวยด้วย”ดร.พิชิตกล่าว

นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับจำนวนหุ้นประมาณ 11.68% ดังกล่าว คาดว่าธนาคารออมสินจะต้องใช้เงินทุนในการซื้อหุ้นประมาณ 120-130 ล้านบาท โดยในส่วนของราคาขายนั้นอาจจะใช้ตามราคาตลาดหรืออาจจะเป็นราคาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน แต่เชื่อว่าคงใช้เงินไม่เกิน 150 ล้านบาท ขณะเดียวกันอาจจะต้องของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ผ่อนผันไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ด้วย เนื่องจากการถือหุ้นเพิ่มของธนาคารออมสินจะเกินสัดส่วน 25% ซึ่งเป็นจุดที่ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์

ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากธนาคารออมสินเข้ามาถือหุ้นเราเพิ่มขึ้นแล้ว น่าจะได้ประโยชน์จากเราค่อนข้างมากในแง่ของการทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต

ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากสำนักงานประกันสังคม(สปส.) เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้นของ บลจ.เอ็มเอฟซี ที่ทาง สปส. จะซื้อต่อจาก ธนาคารทหารไทย นั้น คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพราะคณะกรรมการ สปส.ก็ได้อนุมัติในหลักการแล้ว เหลือเพียงการเจรจาเพื่อตกลงเรื่องราคาและวันทำการซื้อขายกับทาง ธนาคารทหารไทย เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของราคาที่จะซื้อขายกันนั้น ทาง สปส. ได้กำหนดไว้เบื้องต้นว่าต้องเป็นราคาที่ใกล้เคียงและไม่เกินไปกว่าราคาที่ทางธนาคารทหารไทยเคยขายให้กับ ธนาคารออมสิน ซึ่งอยู่ที่ 22.60 บาท และการซื้อขายครั้งนี้ทาง สปส. จะเข้าลงทุนไม่เกิน 8% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ขณะที่ธนาคารทหารไทยก็จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือประมาณ 4%

ทั้งนี้ สาเหตุที่ สปส. ไม่สามารถเข้าลงทุนได้เกิน 8% เนื่องจากไม่ต้องการให้สัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานภาครัฐรวมกันสูงเกินกว่า 50% เพราะจะทำให้ บลจ.เอ็มเอฟซี ต้องกลายเป็นรัฐวิสาหกิจไป และทำให้ความคล่องตัวในการดำเนินงานต้องลดลงไปด้วย โดยปัจจุบัน บลจ.เอ็มเอฟซี มีธนาคารออมสินและกระทรวงการคลังถือหุ้นรวมกันอยู่แล้วประมาณ 42% อย่างไรก็ตาม จากการยืนยันของนายพิชิต คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าธนาคารออมสินจะเข้ามาซื้อหุ้นดังกล่าวแทน

สำหรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นของบลจ.เอ็มเอฟซี ในปัจจุบัน ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน 24.50% กระทรวงการคลัง 16.67% ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 11.68% บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) 10.52% บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แอ็ดคินซัน จำกัด (มหาชน) 4.72% และภาคเอกชน 31.91%
กำลังโหลดความคิดเห็น