ดารบุษป์
darabusp@yahoo.com
เลือกตั้งเสร็จแล้ว รู้แล้วว่าพรรคไหนได้เสียงมากที่สุด แต่ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้นำรัฐนาวาลำนี้แล่นผ่านปีหนูพยาบาทไปได้ สำหรับประชาชนอย่างเราก็คงต้องปล่อยวางให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย แต่ปล่อยวางนี้มิใช่เป็นการปล่อยปละให้ใครมาปู้ยี่ปู้ยำ โกงกินชาติบ้านเมืองได้ตามสบายปากนะครับ
เอ......พูดๆไปแล้วชักจะเครียดเกินไป กลับมาเรื่องเงินๆทองๆของเราดีกว่า ปีนี้ดูจากรูปการแล้วคนชอบความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ ก็คงวนเวียนอยู่กับกองทุนตราสารหนี้ทั้งประเภทที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในประเทศและตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีการจัดอันดับและประกันความเสี่ยงเต็มจำนวนเช่นเดิม
ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ชอบมีความหวังในหัวใจ ก็สามารถเลือกซื้อหากองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้นที่เกี่ยวพันกับดัชนีสารพัดสารพัน โดยได้ลุ้นว่าหากดัชนีที่กองทุนไปเกี่ยวพันนั้นสามารถทะลุทะลวงไปในทิศทางที่ท่านประสงค์ ก็จะได้รับผลตอบแทนสูงลิบลิ่วแบบที่อดีตเป็นมา (แต่อนาคตไม่รู้นะฮ้า.....) แต่ไม่ต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด เพราะหากดัชนีดังกล่าวมิได้เป็นไปดังใจหมาย ท่านก็ยังมีโอกาสได้รับเงินต้นเพียวๆ (แบบปราศจากดอกเบี้ย) มาเชยชมให้สมใจ
สำหรับผู้ที่พร้อมรับความเสี่ยงได้มาก ผมเชื่อว่าปีหน้านี้จะเป็นปีที่ท่านจะมีทางเลือกในการลงทุนสารพัดหลากหลายรูปแบบ ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากผลิตภัณฑ์การลงทุนในโลกนั้นมีอยู่แล้วมากมายนับพันนับหมื่น ขอเพียงท่านพร้อมเหล่าบริษัทจัดการลงทุนทั้งหลายก็พร้อมจะดาหน้านำเข้าของนอกเหล่านี้มาให้ท่านเลือกกันแบบไม่หวาดไม่ไหว
เดิมนั้นไม่ค่อยมีใครกล้านำกองทุนความเสี่ยงสูงประเภทลงทุนในประเทศเดียว หรืออุตสาหกรรมเดียวมาให้คนไทยได้เลือกมากนัก แต่หลังจากมีผู้ใจกล้านำกองทุนที่ลงทุนในประเทศจีนเพียงอย่างเดียวมานำเสนอให้ผู้ลงทุนไทยได้ลิ้มลอง ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆ แต่พอเวลาผ่านไปเห็นผลตอบแทนขึ้นเอาๆ ก็เลยเหลือแต่ความกล้า พาให้บริษัทจัดการกองทุนอีกหลายแห่งพลอยฮึกเหิมไปด้วย ช่วยกันออกกองทุนจีนกันยกใหญ่ นี่ยังไม่นับประเภทกองทุนที่มีจีนผสมโรงร่วมกับประเทศอื่นๆที่ให้ความตื่นเต้นไม่แพ้กันอย่างอินเดีย หรือ แซมบ้า บราซิล รัสเซีย เป็นต้น
จริงๆแล้วผมเป็นพวกอยู่ฝั่งเชียร์การลงทุนในหุ้นอยู่แล้วครับ แต่นั่นหมายถึงว่าผู้ลงทุนต้องรู้ตัวนะครับว่ากำลังทำอะไรอยู่ และผลของการลงทุนจะเป็นอย่างไรได้บ้าง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนักลงทุนจำนวนมาก ผมเห็นการลงทุนในกองทุนหุ้น สำหรับหลายท่านนั้นออกจะเป็นพิษภัยกับสุขภาพจิต (และอาจลามไปถึงสุขภาพกายด้วย) หากท่านไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในกลุ่มนี้หรือไม่ ผมขอยกตัวอย่างอาการของโรคที่พอจะบอกได้ดังนี้ค่ะ
1)แพ้ต่ำสิบ คือ เห็นราคาหน่วยลงทุนต่ำกว่า 10 บาทไม่ได้เลย คือถ้าซื้อไว้ 10 บาท แล้วราคาหล่นลงเหลือ 9.9 บาทก็กระวนกระวาย กระสับกระส่าย หายใจไม่คล่อง ดูละครไม่รู้เรื่อง อันนี้ถือว่าอาการหนักมาก ไม่รู้พลาดท่ามาลงทุนได้อย่างไรตั้งแต่แรก ซึ่งผมขอแนะนำว่าท่านน่าจะปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง หรือถ้าซื้อแค่หมื่นเดียวก็ยังไม่หายจากอาการดังว่า ก็คงต้องหย่าขาดกับการลงทุนในหุ้นจะเหมาะกว่าครับ
2)คิดหวังแต่กำไร คือ เห็นคนอื่นเขาลงทุนแล้วได้กำไร ก็คิดว่าตนเองลงทุนแล้วต้องกำไรไปด้วย ต้องเรียนย้ำอีกครั้งที่ร้อยนะครับ ว่าผลตอบแทนในอดีตช่วยให้ท่านประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจจะเป็นไปได้เท่านั้น มิได้หมายความว่าท่านจะได้รับผลตอบแทนแบบนั้นอย่างแน่นอนในอนาคต จริงอยู่ครับหุ้นเป็นตราสารที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นได้ในระยะยาว แต่ยาวในที่นี้เขาว่ากันเป็นห้าปีสิบปีนะครับ ไม่ใช่ 2 อาทิตย์ หรือ 3 เดือน 1 ปี ดังนั้น ถ้าท่านคิดว่าจะต้องได้รับผลตอบแทน 30% ใน 6 เดือนล่ะก็ เตรียมจองคิวหมอหัวใจไว้ได้เลยครับ
3)ไม่เผื่อใจด้านลบ เกี่ยวพันกับข้อก่อนหน้าครับ คือ หวังสูงแล้วไม่พอ ยังไม่เผื่อใจไว้รับการขาดทุนอีกต่างหาก การลงทุนในประเทศเกิดใหม่อย่าง จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย หรือแม้แต่กองทุนรวมที่ลงทุนในเอเชียทั้งหลายนั้น เวลาดีๆก็ให้ผลตอบแทนสูงเหลือหลาย แต่เคราะห์หามยามร้ายขึ้นมา ผลตอบแทนของกองทุนเหล่านี้ก็สามารถดำดิ่งลงไปได้มาก หลายท่านอาจสงสัยว่ามากขนาดไหน เอาเป็นว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 – 2541 นั้นหลายกองทุนผลตอบแทนต่อปีขาดทุนถึง 40 – 50% ก็มี (บางประเทศขาดทุน 80% ก็เห็นกันมาแล้ว) แต่ในปีถัดๆมาผลตอบแทนก็สามารถดีดกลับขึ้นมาได้ ดังนั้น ขอให้ท่านลองนึกถึงตัวเองนะครับเวลาเห็นเงินลงทุนหายไปครึ่งหนึ่งนั้น ทำใจรับได้ขนาดไหน และถ้าตื่นตกใจขายออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานก็เท่ากับว่าขาดทุนแบบไม่มีโอกาสฟื้น ผมแนะนำให้ลองฝึกหัดทำใจล่วงหน้าครับ ถึงเวลาจริงๆกล้ามเนื้อหัวใจจะได้แข็งแรง (แหะ แหะ.........)
4)เพื่อนสั่งมา ใครว่ายังไงไม่รู้ รู้แต่เพื่อนซื้อ ก็ซื้อด้วย ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับใครทั้งสิ้น กองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นต่างประเทศ ไม่ใช่สบู่ ยาสีฟัน หรือเครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น ที่จะใช้เหมือนกันได้ ต่างกลิ่น ต่างรส ต่างพลังซัก พลังดูดนิดหน่อยไม่เป็นไร แต่การลงทุนนั้นเกี่ยวพันกับเงินทองจำนวนไม่น้อยของเรา ดังนั้นคำเพื่อนฟังไว้เป็นข้อมูลเสริมครับ แต่ตนเองก็ต้องไม่ลืมศึกษาหาความรู้ ให้ทราบถึงโอกาสรับผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงให้แน่ชัดด้วย เพราะบางทีเพื่อนเราหัวใจแข็งแรง เป็นแชมป์วิ่งมาราธอน 7 สมัย ส่วนเราแค่วิ่งอนุบาลยังหอบ
5)บ้าของแถม ถ้าคิดจะซื้ออยู่แล้ว และได้ของแถมมาด้วยก็ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าซื้อเพราะอยากได้ของแถมเป็นหลักนี่ดูจะไม่ถูกหลักอนามัยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะบัตรกำนัล หรือทองหยองอะไร ก็ไม่สามารถทดแทนกับการขาดทุนกำไรที่เราจะได้รับจากกองทุนหรอกครับ โดยเฉพาะในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงๆนั้น โอกาสรับผลตอบแทนหรือรับผลขาดทุนนั้นอาจขึ้นลงได้ถึง -20% ถึง 30% ต่อปี เทียบกับบัตรกำนัล หรือทองคำราคาไม่กี่หมื่นบาท ก็ไม่ทำให้ท่านรวยมากขึ้น หรือจนน้อยลงหรอกครับ (ต้องซื้อเป็นล้านนะครับถึงจะได้ ถ้าซื้อหลักหมื่นหลักแสนต้องเอาผงทองไปดมชูกำลังแทน)
นึกมาได้แค่นี้ครับ หวังว่าทุกท่านจะได้มีโอกาสสำรวจสุขภาพการลงทุน ก่อนเริ่มการงานในปีใหม่นี้ มีโอกาสร่ำรวยเงินทอง และความดีกันทุกคนนะครับ