ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โตโยต้าเลือก “ประเทศไทย” เป็นฐานผลิตรถกระบะไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Hilux Travo-e รถที่ต้องรักษาดีเอ็นเอความทนทานของไฮลักซ์ไว้ให้ได้ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality
สุวดี สมุทรธนานนท์ หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย ประเทศไทย จำกัด ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้ “MGR Motoring” จะพาไปเจาะลึกทุกความท้าทาย ตั้งแต่แพลตฟอร์ม แบตเตอรี่ ราคา ไปจนถึงอนาคตของกระบะไฟฟ้าไทย
ถาม : จุดเริ่มต้นและเหตุผลในการพัฒนา Hilux Travo-e คืออะไร และทำไมโตโยต้าจึงเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถกระบะไฟฟ้า
ตอบ : ต้องเริ่มจากความจริงที่ว่า “ไฮลักซ์” ไม่ได้ขายเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นรถกระบะที่จำหน่ายทั่วโลก โตโยต้าจึงมีแนวคิด Multi-pathway หรือการเปิดทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลายให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป ไฮบริด หรือหนึ่งในนั้นคือ BEV รถไฟฟ้าล้วน 100%
เมื่อไฮลักซ์เป็นรถระดับโลก หากเราสามารถพัฒนารถกระบะไฟฟ้าในตระกูลนี้ได้ ลูกค้าทั่วโลกก็จะมีโอกาสเลือกใช้ “กระบะไฟฟ้า” ได้จริงในชีวิตประจำวัน ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตไฮลักซ์ที่สำคัญของโลก มีซัพพลายเชน บุคลากร และประสบการณ์การผลิตรถกระบะมาอย่างยาวนาน จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการผลิต Hilux Travo-e เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น ยุโรป และออสเตรเลีย
ถาม : ความท้าทายหลักในการพัฒนารถกระบะไฟฟ้าคืออะไร โดยเฉพาะเรื่องการบรรทุก น้ำหนัก และความทนทาน
ตอบ : ต้องยอมรับตรงไปตรงมาว่า “ยากมาก” เพราะ แพลตฟอร์มของไฮลักซ์ในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถไฟฟ้าตั้งแต่แรก เราใช้แพลตฟอร์มเดิมที่พัฒนาต่อเนื่องมาหลายรุ่น แล้วนำระบบแบตเตอรี่ EV มาใส่เข้าไป ซึ่งมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งการจัดวาง การปกป้องแบตเตอรี่ และการบำรุงรักษา
นี่เป็นครั้งแรกที่เราเอา แบตเตอรี่ มาใส่ในรถกระบะจริง ๆ ไม่ใช่รถนั่ง การดูแลระบบ การป้องกันความเสียหาย และความทนทานในการใช้งานหนัก จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทีมวิศวกรต้องแก้ให้ได้ โดยยังต้องรักษาคาแรกเตอร์ของไฮลักซ์เอาไว้
ถาม : เรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะการลุยน้ำ พื้นที่สมบุกสมบัน มีการพัฒนาและทดสอบอย่างไร
ตอบ : เราคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการดีไซน์ เพราะรถกระบะมีลักษณะการใช้งานที่หลากหลายและหนักหน่วง Hilux Travo-e ถูกออกแบบระบบปกป้องแบตเตอรี่ด้วยแนวคิด Diamond Guard โดยติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ภายในโครงสร้าง Frame ให้เฟรมเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก
นอกจากนี้ยังมีเฟรมย่อยและแผ่นปิดด้านล่างเพื่อรับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนหรือเส้นทางสมบุกสมบัน หากมีการกระแทก จะโดนโครงสร้างเหล่านี้ก่อนถึงตัวแบตเตอรี่ ด้านข้างก็มีโครงสร้างดูดซับแรงและกันชนเพื่อป้องกันแบตเตอรี่เช่นกัน ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รถกระบะไฟฟ้าคันนี้ “ลุยได้จริง” ตามแบบไฮลักซ์
ถาม : โครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จ มีผลต่อการพัฒนารถมากน้อยแค่ไหน
ตอบ : ช่วงเริ่มต้นโครงการ เรายอมรับว่ากังวลมาก เพราะในตอนนั้นประเทศไทยยังมีสถานีชาร์จไม่มากนัก แต่เมื่อเริ่มเปิดตัว Hilux Travo-e ในพื้นที่อย่างพัทยา ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ภาครัฐส่งเสริม EV 3.0 ทำให้สถานีชาร์จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีรถไฟฟ้าจากหลายค่ายเข้ามาในตลาด
โตโยต้าเองก็เรียนรู้ไปพร้อมกับผู้ให้บริการสถานีชาร์จ หากเกิดปัญหาในการชาร์จ ก็จะมีการพูดคุย ปรับปรุง และอัปเดตซอฟต์แวร์ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ถาม : Hilux Travo-e ถูกวางตำแหน่งไว้สำหรับลูกค้ากลุ่มใด และแตกต่างจากกระบะเครื่องยนต์สันดาปอย่างไร
ตอบ : ในระยะแรก เราเน้นตลาดต่างประเทศก่อน เพราะยุโรปและออสเตรเลียมีความต้องการรถไฟฟ้าสูง และมีกฎหมายบังคับใช้ด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มลูกค้าหลักคือ รถองค์กร งานก่อสร้าง เหมืองแร่ ซึ่งต้องใช้รถกระบะในการทำงานจริง
สำหรับประเทศไทย เราอยากขายในประเทศด้วย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือ ฟลีตองค์กร ที่ให้ความสำคัญกับ Carbon Neutrality อีกกลุ่มคือผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้วิ่งระยะไกล อยากใช้รถไฟฟ้า และมีความเชื่อมั่นในแบรนด์โตโยต้า
เรายอมรับว่าระยะทางการวิ่งอาจยังไม่เทียบเท่ารถนั่งไฟฟ้าแบบโมโนค็อก แต่ Hilux Travo-e เป็นรถกระบะไฟฟ้ารุ่นแรกที่เน้นการปกป้องแบตเตอรี่และความทนทาน อยากให้ลูกค้าได้ลองใช้งานจริง แล้วโตโยต้าจะนำเสียงสะท้อนไปพัฒนาต่อในอนาคต
ถาม : ราคาจำหน่ายเป็นอุปสรรคสำคัญหรือไม่
ตอบ : เป็นอุปสรรคที่สำคัญมาก เพราะต้นทุนหลักของรถไฟฟ้าคือ แบตเตอรี่ ซึ่งยังมีราคาสูง ไม่ใช่เฉพาะโตโยต้า แต่เป็นทุกค่าย Hilux Travo-e จึงเป็นรถกระบะที่มีราคาสูงที่สุดในกลุ่มของโตโยต้า เราพยายามลดต้นทุนทุกจุดที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัด
ลูกค้าหลายรายกังวลทั้งเรื่องราคาและระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ ซึ่งเรายอมรับตรงนี้อย่างตรงไปตรงมา
ถาม : ระยะยาว โตโยต้ามองตลาดรถกระบะไฟฟ้าในไทยอย่างไร
ตอบ : รถกระบะถือเป็น National Car ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Powertrain แบบใด รถกระบะก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดไทยเสมอ Hilux Travo-e เป็นก้าวแรก เราอยากให้ลูกค้าได้สัมผัสว่า “กระบะไฟฟ้า” หน้าตาและการใช้งานเป็นอย่างไร
ข้อจำกัดในวันนี้ ทั้งเรื่องแบตเตอรี่หรือระยะทาง จะถูกนำไปพัฒนาต่อในรุ่นถัดไป เราอาจยังไม่ครอบคลุมการใช้งานหนักได้เท่าดีเซล 100% แต่เชื่อว่าสามารถตอบโจทย์การใช้งานในประเทศไทยได้ในระดับหนึ่ง
ถาม : เป้าหมายการผลิต- การขาย เป็นอย่างไร
ตอบ : ตั้งเป้าจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 500 คันต่อปี ส่วนที่เหลือเน้นส่งออก ตัวเลขนี้ยังสามารถปรับเพิ่มได้ หากความต้องการของตลาดสูงขึ้น เพราะขณะนี้มีกำลังการผลิตรองรับแล้ว
ปัจจุบันรถเพิ่งเริ่มทยอยส่งถึงดีลเลอร์ ลูกค้าหลายรายยังรอชมรถจริงและทดลองขับก่อนตัดสินใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ถาม : เมื่อเทียบกับกระบะไฟฟ้าจากจีน โตโยต้าเด่นกว่าตรงไหน
ตอบ : โตโยต้ามีประสบการณ์ทำตลาดรถยนต์มายาวนาน เราเจอสถานการณ์จริงจากลูกค้ามานับไม่ถ้วน และนำบทเรียนทั้งหมดมาพัฒนาใส่ในรถคันนี้ ค่ายที่เริ่มจากรถไฟฟ้าอาจเก่งระบบไฟฟ้า แต่ประสบการณ์ด้านการใช้งานจริงอาจยังไม่เท่าโตโยต้า
เราให้ความสำคัญกับแนวคิด Fail-Safe คือหากระบบหนึ่งเสีย อีกระบบต้องทำงานต่อได้ เพื่อให้รถหยุดอย่างปลอดภัย ลูกค้าต้องไม่ตกอยู่ในอันตราย นี่คือสิ่งที่โตโยต้าคิดไว้ล่วงหน้าเสมอ
ถาม : มองการแข่งขันกับกระบะไฟฟ้าจากค่ายใหม่อย่างไร
ตอบ : รถบางรุ่นอาจมีรูปลักษณ์เป็นกระบะ แต่ใช้โครงสร้างแบบ Monocoque ซึ่งเหมาะกับรถนั่งมากกว่า Hilux Travo-e ยังคงใช้โครงสร้าง Frame เพราะลูกค้ากระบะตัวจริงให้ความสำคัญกับความแข็งแรง การบรรทุก และความทนทานในระยะยาว
เราอาจไม่ใช่กระบะไฟฟ้าที่หวือหวาที่สุด แต่เราเป็นกระบะไฟฟ้าที่คิดและพัฒนาบนพื้นฐานของ “รถกระบะจริง”
Hilux Travo-e อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของกระบะไฟฟ้า แต่คือก้าวแรกของโตโยต้าในการนำพากระบะไทยเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างยั่งยืน โดยทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังมี ผู้หญิงแกร่งที่ชื่อ "สุวดี สมุทรธนานนท์" รวมอยู่ด้วย


