xs
xsm
sm
md
lg

5 ประเด็นเขย่าโลกยานยนต์ ยุโรป สหรัฐฯ จีน สั่นสะเทือนถ้วนหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี 2025 มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงสิ้นปี ทางทีมงานของ Motoring ไม่พลาดที่จะสรุปข่าวเด่นที่น่าสนใจซึ่งเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา


1.เมื่อชาติสมาชิกคว่ำมติรถยนต์ใหม่ที่ขายปี 2035 ต้องปลอดมลพิษ :ถือเป็นข่าวใหญ่เอาเรื่องสำหรับปลายปี 2025 เมื่อชาติสมาชิกที่นำโดยเยอรมนี และอิตาลี รวมถึงประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์อย่างโปแลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย เช็ค และบัลแกเรียได้มีมติเห็นชอบในเรื่องของการพิจารณาระงับการบังคับใช้ข้อบังคับที่กำหนดให้รถยนต์ใหม่ที่เริ่มจำหน่ายในสหภาพยุโรปในปี 2035 เป็นต้นไปจะต้องเป็นรถยนต์ไร้มลพิษ ด้วยเหตุผลที่ว่าข้อบังคับนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปและยังเป็นการเปิดช่องให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าราคาถูกจากจีนเข้ามาเก็บเกี่ยวยอดขายในยุโรป

จุดเริ่มต้นของข้อบังคับมาจาก การประชุมคณะมนตรีแห่งสภาพยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม (EU Environment Council Meeting) เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ณ ประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จำนวน 27 ประเทศ เข้าร่วมการประชุม ได้บรรลุข้อตกลงที่จะให้ความเห็นชอบต่อร่างมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประกอบด้วยข้อเสนอกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับเงื่อนไขเพิ่มเติมที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับการห้ามขายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

แต่สุดท้ายแล้ว มีการโหวตเพื่อเปลี่ยนข้อบังคับใหม่ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90% สำหรับเป้าหมายของผู้ผลิตรถยนต์ตั้งแต่ปี 2035 แทนที่จะเป็นแบบปลอดไอเสียเลย และมีแนวโน้มว่าจะใช้กฎข้อนี้ยาวจนกระทั่งถึงปี 2040 เพื่อให้เกิดการปรับตัวของผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปแบบค่อยเป็นค่อยไป



2.Trump Tax พ่นพิษอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก :กลายเป็นประเด็นฮ็อตและสร้างความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าสำหรับการประกาศปรับรูปแบบของการเก็บภาษีนำเข้าในสหรัฐอเมริกาแบบใหม่ โดยมีผลตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เช่นเดียวกับการขึ้นภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นการบีบบังคับกลายๆ ให้ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรีบย้ายฐานการผลิตจากแคนาดา หรือเม็กซิโกกลับมาสู่สหรัฐอเมริกาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ซึ่งตามรายงานของ Financial Times ระบุว่าเมื่อปีที่แล้ว รถปิกอัพมากกว่า 50% ที่ขายในสหรัฐอเมริกา ต่างถูกผลิตในเม็กซิโกหรือแคนาดา ทำให้มีราคาเพิ่มขึ้นในระดับ 5,000-10,000 เหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ส่วนผลผลิตที่มาจากยุโรปและญี่ปุ่นโดนเพิ่มเพดานภาษีกันถ้วนหน้า โดยต้องอาศัยการเจรจาในระดับทวิภาคีเพื่อต่อรองในเรื่องนี้

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% อย่างต่อเนื่องจะรุนแรงมาก โดยการตอบโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบน่าจะส่งผลให้แคนาดาและเม็กซิโกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่จุดที่การเติบโตหยุดชะงัก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงปลายปี นโยบายในการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump จะถูกศาลอุทธรณ์ของสหรัฐอเมริกาลงมติ 7 ต่อ 4 เสียงเห็นชอบว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยชี้ว่าประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของประเทศ แต่กว่าจะถึงจุดสิ้นสุดและมีการยกเลิกการใช้ อุตสาหกรรมของบ้างประเทศก็ได้รับความบอบช้ำและเกิดผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าเบอร์ต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา


3.เมื่ออินเดียเป็นทางออกใหมทั้งญี่ปุ่นและยุโรป : การสูญเสียตลาดให้กับรถยนต์ไฟฟ้าของจีน บวกกับเรื่องการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดี Trump ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นทางออกที่สำคัญของปัญหาเหล่านี้ ทั้งแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นและยุโรป

สำหรับแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นมีการระบุว่าโตโยต้า และฮอนด้า กำลังสนใจอย่างมาก หลังจากที่ซูซูกิ เข้ามาบุกเบิกตลาดแห่งนี้จนกลายเป็นพี่ใหญ่ โดยพวกเขาต้องการอัพเกรดอินเดียให้มีความทันสมัยในเรื่องของการผลิตเหมือนกับที่ทำได้ในจีน และมีการลงทุนในระดับหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งก็คือ การกระจายความเสี่ยงออกมา หลังจากที่ตลาดส่วนหนึ่งของโตโยต้าและฮอนด้ามาจากยอดขายในจีน ซึ่งเมื่อยอดขายในจีนลดลงก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของยอดขายในปีนั้นด้วย

อินเดียมีจุดเด่นในเรื่องของต้นทุนที่ต่ำเพราะแรงงานมีค่าแรงไม่สูง ปริมาณประชากรที่มาก แม้ว่าจะถูกมองว่าสภาพเศรษฐกิจยังไม่เจริญหรือพัฒนาเทียบเท่ากับจีนก็ตาม แต่ไฮไลท์ที่ทำให้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเข้าไปวางรากฐานการผลิตในตลาดแห่งนี้คือ แรงจูงใจในการผลิตรถยนต์เพื่อแข่งขันหรือส่งออกของแบรนด์ท้องถิ่นทั้ง Tata หรือ Mahindra นั้นถือว่าต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับยุคทศวรรษที่ 1990 ซึ่งแบรนด์อินเดียพยายามรุกออกสู่ตลาดต่างแดน

สิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้คือ ตัวเลขการขยายตัวด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งทางบกของอินเดียซึ่งก็รวมถึงการลงทุนในภาครถยนต์จากบริษัทรถยนต์ที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีรายงานระบุว่าขยายตัวถึง 7 เท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2021 กับ 2024 ซึ่งในปีที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ 249,000 ล้านเยน

ขณะที่แบรนด์ยุโรปนั้น อินเดียคือ ทางออกในเรื่องของการหนีภาษีของ Trump โดยทางคณะกรรมการบริหารของสหภาพยุโรปได้ร้องขอไปทางรัฐบาลอินเดียในการทบทวนถึงอัตราภาษีนำเข้าในรูปแบบทวิภาคีระหว่าง EU กับอินเดียโดยเน้นไปที่สินค้าหลักของประเทศที่อยู่ในหน่วยงานนี้ นั่นคือ รถยนต์ทั้งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์พลังไฟฟ้า รวมถึงไวน์

สิ่งที่ EU ต้องการไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการเจรจาเพื่อให้รัฐบาลอินเดียลดอัตราภาษีรถยนต์ลง และใช้อินเดียเป็นแหล่งปล่อย ‘ของ’ ที่ในตอนนี้อาจจะไม่สามารถเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาได้เพราะกำแพงภาษีที่สูงของรัฐบาล Trump ซึ่งในรูปแบบของรถยนต์นำเข้านั้น น่าจะช่วยทำให้การระบายของไม่อยู่ในสภาพคอขวดอยู่ที่เป็นของในปัจจุบัน และพวกเขาเชื่อมั่นว่ายังมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่รอซื้อรถยนต์จากยุโรปในราคาที่ถูกกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


4. รัก3เส้าที่ไม่เป็นจริงของแบรนด์ญี่ปุ่น :หลังจากที่เซอร์ไพรส์ตลาดทั่วโลกด้วยการประกาศกรอบความร่วมมือของแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นอย่างนิสสัน , ฮอนด้าและมิตซูบิชิ ในการรวมเป็นพันธมิตรเพื่อความอยู่รอดในตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นแค่ฝัน และใครที่อยากให้ 3 แบรนด์อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็ต้องผิดหวังไปตามกัน

การประกาศแยกทางและเผยถึงสิ่งที่ไม่สามารถเป็นจริงได้นั้นเกิดขึ้นในแทบจะทันที และสอดคล้องกับการวิเคระห์ของ Carlos Ghosn อดีตผู้บริหาร Nissan ที่กำลังหนีคดี โดยเขากล่าวว่า “จากมุมมองด้านอุตสาหกรรม มีความซ้ำซ้อนในทุกที่ระหว่างทั้ง 2 บริษัท โดยยืนยันว่าการเสริมซึ่งกันและกันเป็นสิ่งจำเป็นในการควบรวมกิจการ แต่ระหว่างฮอนด้าและนิสสัน ไม่มีเลย “หากการควบรวมกิจการครั้งนี้เกิดขึ้น ... ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จ”

ที่สำคัญ คือ ทั้ง 2 บริษัทไม่ได้มีศักยภาพในการส่งเสริมซึ่งกันและกันในการทำงานเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในโลกของอุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นแค่ผู้เล่นในตลาดระดับกลางๆ ที่จับมือกันเพื่อความหวังที่จะสร้างความได้เปรียบ

สุดท้ายก็เป็นจริงตามนั้น เมื่อมีการประกาศตามหลังประมาณ 1 เดือนว่า มิตซูบิชิที่ในตอนแรกทำท่าลังเลก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ร่วมอยู่ในการทำงานร่วมกันครั้งนี้ เช่นเดียวกับนิสสัน และฮอนด้า ที่ออกมายืนยันว่าโปรเจ็กต์การรวมตัวกันไม่มีความคืบหน้า และต้องปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว


5.สนามแข่งขันความเร็วในการชาร์จระดับ 1 เมกะวัตต์ : ถือเป็นเรื่องฮือฮาไม่น้อยชนิดเขย่าโลกรถยนต์พลังไฟฟ้า เมื่อแบรนด์รถยนต์จีนเปิดตัวแท่นชาร์จสาธารณะที่มีความรวดเร็วแบบ Flash Charging ด้วยความสามารถในการชาร์จ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1เมกะวัตต์

สถานีชาร์จเร็วพิเศษแห่งแรกของ BYD ที่มีกำลังชาร์จสูงถึง 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1 เมกะวัตต์ จะพร้อมใช้งานในเดือนเมษายน หลังจากมีการประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวเมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย BYD มีแผนการก่อสร้างสถานี Flash Charging ที่มีขนาด 1 เมกะวัตต์ จำนวน 4,000 แห่งภายในปีนี้ แต่ 500 แห่งแรกจะต้องพร้อมให้บริการเมื่อรถยนต์ซีดาน Han L และ SUV (รถยนต์อเนกประสงค์) Tang L เปิดตัวในต้นเดือนเมษายน

การเข้าไปมีส่วนในการกระตุ้นให้รถยนต์พลังไฟฟ้าข้ามข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาในการรอขณะที่ต้องชาร์จไฟฟ้านั้น เป็นหัวข้อที่ BYD ให้ความสนใจและมองหาโซลูชั่นในการจัดการเรื่องนี้มานาน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พวกเขาได้เปิดตัว Flash Charging ขนาด 1,000 กิโลวัตต์ โดยระบุว่าเมื่อชาร์จเพียง 1 วินาทีจะมีกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพียงพอในการแล่นทำระยะทาง 2 กิโลเมตร และถ้าชาร์จเพียงแค่ 5 นาทีจะแล่นได้ถึง 400 กิโลเมตรเลยทีเดียว

แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีแค่ BYD เท่านั้น ที่ประกาศตัวเองเป็นผู้นำในการทำงาน แต่ทาง Zeekr และ Huawei ก็ยืนยันว่า การเปิดตัวแท่นชาร์จแบบ Flash Charging ด้วยเช่นกัน แถมยังเกทับ BYD ด้วยแท่นชาร์จที่สามารถชาร์จได้ในระดับ 1.2 และ 1.5 เมกะวัตต์ ตามลำดับ

ทาง Zeekr ที่มี Geely เป็นเจ้าของเปิดเผยว่า Flash Charging ของตนเองสามารถจ่ายไฟได้มากถึง 1,200 กิโลวัตต์ (1.2 เมกะวัตต์) ซึ่งมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าของอเมริกาหรือยุโรปในปัจจุบันหลายเท่า และได้นำเครื่องชาร์จไฟที่ทรงพลังที่สุดในโลกบางรุ่นมาใช้งานแล้ว โดยสามารถชาร์จ SUV 7X จากสถานะชาร์จ 10 ถึง 80% ในเวลาเพียง 10 นาที ซึ่งเร็วกว่า Kia EV6 (ซึ่งใช้เวลาชาร์จ 18 นาที) ถึงสองเท่าเลยทีเดียว

แน่นอนว่าหลังจากที่เปิดเผยข่าวนี้ออกมาได้ไม่นาน ทางด้าน Huawei ก็ออกมายืนยันถึงการเดินหน้าลุยตลาดนี้ด้วยเช่นกัน พร้อมกับตัวเลขที่น่าทึ่ง คือ 1,500 กิโลวัตต์ หรือ 1.5 เมกะวัตต์ โดยเครื่องชาร์จนี้จะเปิดตัวในวันที่ 22 เมษายน และชาร์จแบตเตอรี่ EV สำหรับผู้โดยสารจากศูนย์จนเต็ม 100% ในเวลา 15 นาที

เรียกว่าเป็นการยกระดับและทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้าเป็นสิ่งที่น่าใช้ขึ้นมาในทันทีเลย


กำลังโหลดความคิดเห็น