ไม่ต่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบพกพาหรือชาร์จได้หลายครั้ง เมื่อหมดอายุการใช้งานไม่ว่าจะเพราะแบตเตอรี่เสื่อม หรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้รถยนต์ไฟฟ้าคันนั้นไม่สามารถใช้งานต่อได้ จำเป็นที่จะต้องมีการกระบวนการกำจัดและรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ของรถยนตไฟฟ้าที่หมดสภาพเหล่านี้ แน่นอนว่าโลกจำเป็นต้องรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างถูกต้อง เพราะเซลล์เหล่านี้มีความซับซ้อนจำเป็นที่จะต้องจัดการอย่างถูกต้องผ่านกระบวนการที่แม่นยำ ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่การกำจัดทิ้งเมื่อแบตเตอรี่หมดไป แต่จะต้องการนำวัสดุที่ใช้ในการผลิตกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีค่าและเป็นแร่ธาตที่หายาก
แม้ว่าเราจะมีรถยนต์พลังไฟฟ้าใช้มานานหลายสิบปี แต่ทว่การบูมของรถยนต์ประเภทนี้ในตลาดทั่วโลกเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้น การกำจัดแบตเตอรี่ที่หมดสภาพจึงเป็นเรื่องใหม่และเป็นความท้าทายสำหรับตลาดทั่วโลก หากเรากำลังจะก้าวข้ามจากโลกที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาสู่การใช้พลังไฟฟ้า และที่น่าสนใจคือ จีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ และหลายสิ่งหลายอย่างมีจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นที่นี่ และนั่นก็รวมถึงกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีความทันสมัยที่สุด
แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่รายงานของสื่อในจีนอย่าง Car News China มีการระบุว่าบริษัทบางแห่งจากจีนสามารถรีไซเคิลนิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์ที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้มากถึง 99.6% (ซึ่งนิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ หรือ NMC เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่พบมากที่สุดในรถยนต์ไฟฟ้าระยะไกลในปัจจุบัน) ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง และเป็นความสำเร็จที่รวดเร็วกว่าระดับที่สหภาพยุโรปด้วยซ้ำ ซึ่งในยุโรปมีการวางแผนไว้ว่าจะทำได้หลังสิ้นสุดทศวรรษนี้
จีนเป็นผู้นำระดับโลกทั้งในด้านการผลิตและการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาได้นำมาตรฐานการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐานความเข้มงวดยิ่งขึ้นมาใช้ และกำลังผลักดันให้ทั่วโลกนำมาตรฐานเหล่านี้ไปใช้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ของจีนได้เสนอมาตรฐานเหล่านี้เป็นครั้งแรกในปี 2019 จีนได้ระบุว่า 85% ของลิเธียมที่ใช้ในแบตเตอรี่เหล่านี้ควรได้รับการรีไซเคิล แต่ในปี 2024 ได้เพิ่มเป็น 90% แต่ที่สำคัญ คือ มีรายงานอื่นๆ บ่งชี้ว่านักวิจัยในจีนกำลังสร้างความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในด้านนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีการระบุถึงที่มา แต่ถ้าทำได้ ถือว่าจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ขององค์ความรู้ในด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่เลยทีเดียว
บริษัทรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีนคือ Guangdong Brunp Recycling Technology ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ ระบุว่ามีกระบวนการรีไซเคิลอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่สามารถจัดการกับขยะแบตเตอรี่ได้ 120,000 ตัน และกำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1 ล้านตัน ปัจจุบันมีศูนย์รีไซเคิลมากกว่า 200 แห่งที่ดำเนินการอยู่ และรองรับความต้องการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในจีนได้มากกว่า 50%
วัสดุรีไซเคิลเหล่านี้จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในแบตเตอรี่ชุดใหม่ ซึ่งทำให้ช่วยลความต้องการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติไปโดยอัตโนมัติ แต่หนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันก็คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขุดลิเธียม แร่ธาตุหายาก และธาตุอื่นๆ ขึ้นมาจากใต้ดิน แรงงานเบื้องหลังการทำเหมืองเพื่อหาธาตุเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามหลักจริยธรรมเสมอไป และยังส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ดังนั้น การนำวัสดุเหล่านี้กลับคืนมาแทนที่จะหาใหม่จึงมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากมีการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
สหภาพยุโรปต้องการผ่านกฎหมายที่กำหนดให้แบตเตอรี่ใดๆ ที่มีความจุมากกว่า 2 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะต้องมีปริมาณวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ตามสัดส่วนที่กำหนดภายในปี 2031 โดยมีโคบอลต์อยู่ที่ 16% และลิเธียมและนิกเกิลอยู่ที่ 6% เป้าหมายคือการลดขยะ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้น ภายในปี 2031 สหภาพยุโรปยังต้องการเพิ่มอัตราการนำโคบอลต์ ทองแดง ตะกั่ว และนิกเกิลกลับมาใช้ใหม่เป็น 95% และลิเธียมอยู่ที่ 80% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ต่ำกว่าที่จีนระบุว่าสามารถดึงกลับมาใช้ใหม่ได้ในปัจจุบัน
ในสหรัฐอเมริกา Redwood Materials เป็นหนึ่งในบริษัทรีไซเคิลแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุด และมีการระบุว่าพวกเขามีเทคโนโลยีที่สามารถรีไซเคิลนิกเกิล โคบอลต์ ลิเธียม และทองแดงจากชุดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่หมดอายุการใช้งานได้มากถึง 95% แต่บริษัทยังไม่สามารถดำเนินการในระดับขนาดใหญ่ได้ โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตไว้ที่ 500 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในสิ้นทศวรรษนี้
ส่วนญี่ปุ่นนั้นมีรายงานว่ากว่า 80% รถยนต์ไฟฟ้าที่หมดสภาพหรือถูกใช้แล้วจะถูกส่งออกนอกประเทศจากการยืนยันของสถาบันวิจัยญี่ปุ่น โดยเชื่อว่าตัวเลขจะมีมากกว่า 94,000 คันในปี 2024 และมีมูลค่าของแร่หายากที่อยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้วเหล่านี้รวมกันมากกว่า115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังโรงงานรีไซเคิลในโรงงานต่างแดน เพราะในปัจจุบัน โรงงานที่มีความสามารถในการรีไซเคิลแบตเตอรี่ยังมีน้อย และหลายแห่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับความต้องการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในตลาดญี่ปุ่น
ขณะที่ทางด้าน จีนน่าจะยังคงเป็นผู้นำทั้งในด้านการผลิตและการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และเมื่อจีนสะสมธาตุเหล่านี้ได้มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขุดในประเทศ ความต้องการวัตถุดิบจากธรรมชาติที่เพิ่งขุดขึ้นมาได้ก็จะลดลง และจะทำให้จีนสามารถปิดวงจรการผลิตและกลายเป็นประเทศที่แทบจะเป็นอิสระและสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยพึ่งพาการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่หลายล้านก้อนในปริมาณสูง แทนที่จะนำวัตถุดิบจากแหล่งต่างๆ เช่น แอฟริกาหรืออเมริกาใต้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม เส้นทางในการเดินหน้าสู่ความเป็นผู้นำในการรีไซเคิลแบตเตอรี่ของจีนก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะ Reuter ได้รายงานเมื่อปี 2023 ว่า พระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกามีข้อกำหนดที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์ความรู้ในส่วนนี้ โดย "กำหนดให้วัสดุแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่รีไซเคิลในสหรัฐอเมริกาให้ถือเป็นวัตถุดิบที่ผลิตในอเมริกาโดยอัตโนมัติเพื่อรับเงินอุดหนุน โดยไม่ต้องคำนึงถึงแหล่งที่มา"
และนี่คือ อีกสิ่งที่เอื้อต่อการทำงานของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา เพราะเป้าหมายคือการสร้างแรงจูงใจในการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา เพื่อพยายามทำลายการผูกขาดเกือบทั้งหมดของจีนในอุตสาหกรรมนี้นั่นเอง


