อุตสาหกรรมยานยนต์จีน โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เดินหน้าขยายแนวรุกสู่ตลาดโลก หลังตลาดในประเทศเริ่มชะลอตัว รายงาน Rhodium Group ชี้ ปี 2024 ถือเป็นครั้งแรกที่เม็ดเงินลงทุนของบริษัทรถยนต์จีนในต่างประเทศสูงกว่าการลงทุนภายในประเทศ สะท้อนทิศทางใหม่ของผู้ผลิตจีนที่มุ่งหากำไรและโอกาสในตลาดโลก ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีและการแข่งขันระดับนานาชาติ
รถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้า กลายเป็นสินค้าแห่งชาติของจีนไปแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาพยายามทุกวิถีทางในการขยายแนวรุกออกสู่ตลาดอื่นๆ ที่อยู่นอกประเทศ โดยในตอนนี้มีการเปิดเผยว่า บรรดาบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจีนกำลังเพิ่มการลงทุนในโรงงานที่อยู่นอกประเทศจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงกับคู่แข่งสายตรงอย่างแบรนด์ Tesla และผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกรายอื่นๆ ที่กระโดดเข้าสู่ตลาดรถยนต์ประเภทนี้
ตามรายงานของบริษัทที่ปรึกษา Rhodium Group ในสหรัฐอเมริกาที่เผยแพร่ข้อมูลนี้ออกมานั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ถือเป็นครั้งแรกนับจากปี 2014 ที่บรรดาบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนที่มีสัดส่วนการลงทุนในตลาดนอกประเทศมากกว่าในประเทศจีน
รายงานนี้ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้น แม้ว่า 74% จะเป็นเรื่องของการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ แต่เมื่อมองไปที่เรื่องของการขยายตัวของโรงงานประกอบและผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้น ก็มีสัดส่วนในการเติบโตที่น่าจับตามองด้วยเช่นกัน
ปี 2023 สัดส่วนการลงทุนของบริษัทรถยนต์จีนในประเทศตัวเองนั้นลดลงจาก 41,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 ทั้งที่ในปีก่อนๆ นั้นตัวเลขการลงทุนเคยสูงสุดถึงในระดับ 91,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์ของ Rhodium Group นั้น ระบุว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะในช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านั้น เป็นช่วงของการขยายตัวอย่างสูงสุดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน
‘เมื่อตลาดได้รับการกระตุ้นจากทุกทาง และดีมานด์ในตลาดมีมากมาย แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการลงทุนเพื่อสร้างไลน์ผลิตให้เพียงพอและทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและด้วยปริมาณที่มหาศาลของผู้บริโภคชาวจีน แต่สำหรับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์จีนเริ่มพบกับการอิ่มตัว แน่นอนว่าพวกเขาต้องหาทางออก และตลาดนอกประเทศ คือ สิ่งเดียวที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ให้กับพวกเขา’
ปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอยู่ในระดับ 11.4 ล้านคัน และ BYD คือ ผู้เล่นรายเดียวที่ครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดที่โดดเด่น ซึ่งจากตัวเลขของส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนในเดือนมกราคมจนถึงกรกฏาคมปีนี้นั้น BYD มียอดขายจนครองส่วนแบ่งในตลาดราวๆ 29.2% ซึ่งมากกว่าส่วนแบ่งที่อีก 48 บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าครองสัดส่วนในตลาดรวมกันเสียอีก
เริ่มขยายแนวรุกออกสู่ตลาดต่างแดน
แม้ว่าในปัจจุบัน ภาครัฐจะยังไม่มีการเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยบริษัทรถยนต์จีนในเรื่องของการขยายตลาดออกสู่ตลาดต่างแดนผ่านทางโต๊ะเจรจาในระดับ G2G มากอย่างที่ควรจะต้องเป็นก็ตาม แต่ทว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ต่างพยายามขับเคลื่อนการเติบโตด้วยตัวเอง
และตอนนี้แม้ว่าตัวเลข (ที่ยังไม่มีการเปิดเผย) จะระบุว่า สัดส่วนการลงทุนในตลาดนอกประเทศจีนของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจะยังมีไม่มากนัก แต่แหล่งข่าวภายในของกระทรวงอุตสาหกรรมของจีนก็เปิดเผยออกมาว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา ตัวเลขของการลงทุนนอกประเทศจีน ‘เกือบจะแซงหน้าได้แล้ว’ และก็ทำสำเร็จในปีที่ผ่านมา
“นับจากปี 2024 การลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทจีนในต่างประเทศสูงกว่าการลงทุนในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการปรับทิศทางการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากบริษัทต่างๆ แสวงหาผลกำไรนอกตลาดภายในประเทศที่กำลังเผชิญกับ 'การพึ่งพาตนเอง”
มีการเปิดเผยว่า ตามข้อมูลจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนเป็นภาคธุรกิจที่มีการลงทุนในตลาดนอกประเทศจีนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ โดยจากรายงานในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ‘ธุรกรรมที่เกิดขึ้นในกลุ่มการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างสังเกตได้ชัดเจนและมีมากถึง 8 ธุรกรรมที่มีมูลค่าในการลงทุนเกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดนำโดย GEM ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุแบตเตอรี่ของจีน โดยทุ่มเงิน 293 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายโรงงานผลิตสารตั้งต้นเทอร์นารีในอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันก็มีรายงานเพิ่มเติมว่าในอีกหลายบริษัทก็เริ่มโครงการเดินหน้าขยายตัวออกสู่ตลาดนอกประเทศจีนแล้ว
Great Wall Motor หรือ GWM ประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่าได้เปิดโรงงานแห่งแรกในบราซิล และมีรายงานเพิ่มเติมว่าบริษัทกำลังพิจารณาเปิดโรงงานแห่งใหม่ในภูมิภาคนี้ และจะตัดสินใจอย่างเร็วที่สุดในช่วงกลางปีหน้า ส่วน Envision ผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่ของจีน ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนว่าได้เริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการที่โรงงานแห่งแรกในฝรั่งเศส
ขณะที่ BYD ได้เริ่มการผลิตที่โรงงานแห่งแรกในบราซิลในเดือนกรกฎาคม โดยยักษ์ใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าของจีนรายนี้มียอดขายในต่างประเทศช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ รวมกันมากกว่า 545,000 คัน สูงกว่ายอดขายรวมกว่า 417,000 คันที่ทำได้ตลอดทั้งปี 2024 โดยในฝั่งยุโรปนั้น BYD กำลังสร้างโรงงานที่ฮังการี และตุรกี ซึ่งจะเริ่มทเดินหน้าทำงานได้ในปลายปีนี้ และปลายปี 2026 ตามลำดับ
‘สามารถมองได้ทั้ง 2 แง่มุม คือ ตลาดในจีนเริ่มอิ่มตัวและไม่มีอะไรให้ต้องลงทุนแล้ว และเมื่อบวกกับเรื่องของกำแพงภาษี รวมถึงข้อกำหนดทางการค้าระหว่างประเทศ ตรงนี้ทำให้พวกเขาต้องหาทางออก โดยเฉพาะในเรื่องการลงทุนในต่างแดน ที่จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบกว่าการนำเข้าทั้งคันจากประเทศจีน’ นักวิเคราะห์ของ Rhodium Group เปิดเผย
เพิ่งเริ่มออกสตาร์ท แต่ก็มีความกังวลจากรัฐบาล
ตามรายงานของ Rhodium ระบุว่าแผนการผลิตในต่างประเทศที่ประกาศโดยบรรดาบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจีนเสร็จสิ้นไปแล้วเพียงแค่ 25% จากแผนทั้งหมดที่มีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้ โดยระบุว่าโครงการในต่างประเทศมีโอกาสถูกยกเลิกมากกว่าโครงการในประเทศถึงสองเท่า
รายงานระบุว่า “บริษัทจีนจะต้องรับมือกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลเกี่ยวกับการรั่วไหลของเทคโนโลยี การสูญเสียงาน และการสูญเสียผลผลิตทางอุตสาหกรรม ซึ่งอาจส่งผลให้มีการควบคุมการลงทุนในต่างประเทศในภาคส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น”
ตรงนี้ถูกมองว่าอาจจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐไม่ค่อยออกโรงเจรจาในระดับทวิภาคีกับรัฐบาลของประเทศอื่นมากเท่าที่ควร และทำให้หลายแบรนด์ในจีนเบนเข็มไปยังประเทศที่มีปัญหาเรื่องกำแพงภาษี โดยข้อมูลจาก LSEG ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศจีน ระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งดึงดูดการลงทุนใหม่ได้ 33% และ 25% ตามลำดับ เนื่องจากต้องเผชิญกับภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตุรกี หรือแม้แต่บราซิล
‘ด้วยตลาดและระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ของจีน ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างมากที่ รัฐบาลจีนไม่ค่อยออกโรงในเรื่องของการกดดันหรือดำเนินการเกี่ยวการกดดันกลับต่อประเทศหรือกลุ่มประเทศที่มีปัญหากับสินค้าของจีน โดยเฉพาะในเรื่องของรถยนต์มากเท่าที่ควรจะเป็น’ แหล่งข่าวภายในบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งเปิดเผย
นับตั้งแต่การโดนปรับกำแพงภาษีโดยสหภาพยุโรปในการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2024 หากไม่ยอมให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับที่มาของการตั้งราคา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการสนับสนุนในด้านราคาซ้ำซ้อนจนทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีราคาที่ถูกกว่า และอาจสร้างผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ใน EU ไปจนถึงการตั้งกำแพงภาษีของรัฐบาล Trump ที่ไม่มีการเจรจา มีแต่การตอบโต้กลับอย่างรุนแรงในด้านกำแพงภาษีเช่นกัน
แน่นอนว่า ตลาดนอกประเทศจีนคือทางออกสำหรับผู้ผลิตรถยนต์จากจีน แต่ภายใต้บริบทที่พวกเขาต้องแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ในกรอบและข้อจำกัดหลายด้าน คราวนี้ต้องดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วแบรนด์รถยนต์จากจีนจะสามารถครองตลาดเหมือนกับที่ทำได้ในประเทศตัวเองหรือไม่