xs
xsm
sm
md
lg

ปอร์เช่–เมอร์เซเดส- เบนท์ลีย์ หรูสะดุด ชะลอโรดแมป EV หลังตลาดซบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปอร์เช่ ถือเป็นบริษัทรถยนต์ระดับหรูที่มีภาพลักษณ์ของการเป็นยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกีที่พวกเขาขยับตัวเร็วและรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ประเภทนี้ด้วยทางเลือกใหม่ๆ โดยที่ไม่ลังเล โดยเฉพาะการเปิดตัวรถยนต์ระดับหรูรุ่น Taycan เมื่อปี 2019 ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน

แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าหลังจากที่สัมผัสตลาดที่เคยได้ชื่อว่าสุดฮ็อตและเป็นเป้าหมายปลายทางของทุกบริษัทรถยนต์ในช่วงทศวรรษที่ 2020 นั้น การเดินหน้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าอาจจะไม่ใช่คำตอบเดียวแล้ว และ ปอร์เช่ ประกาศที่จะปรับปรุงทางเลือกของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของตัวเองในช่วงปลายทศวรรษที่ 2020 ใหม่ โดยคราวนี้ไม่ได้มีรุ่นขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ตามความตั้งใจแรกเริ่มแล้ว แต่จะต้องมีเครื่องยนต์สันดาปภายในและไฮบริดวางขายควบคู่กันด้วย

มีการยืนยันว่าเหตุผลส่วนหนึ่งของการตัดสินใจที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงแนวทางในการทำตลาดของ ปอร์เช่ นั้น มาจากพวกเขาต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงปีนี้ จนเกิดแรงกดดันต่อผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ปอร์เช่ กำลังเปลี่ยนทิศทางด้วยการพิจารณาแผนผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งใหญ่


“เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสภาพแวดล้อมยานยนต์ เราได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญแล้ว และถึงเวลาที่จะลงมือทำจริง เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและยาวนาน จะต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างเต็มที่จากเรา” Oliver Blume ซีอีโอของ ปอร์เช่ และ Volkswagen Group กล่าว


“ในตอนนี้ บริษัทได้กำหนดขั้นตอนสุดท้ายในการปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของเราแล้ว ขณะนี้เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการยานยนต์ นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังปรับกลยุทธ์ของ ปอร์เช่ ในทุกด้าน เราต้องการตอบสนองต่อความเป็นจริงของตลาดและความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป”

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือรถ SUV ระดับ Ultra Luxury รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคต ซึ่งเหนือกว่า Cayenne หรือที่รู้จักกันภายในในชื่อ K1 แม้ว่าเดิมทีมีแผนจะนำเสนอเฉพาะรุ่นไฟฟ้าล้วน แต่ตอนนี้จะ “เปิดตัวครั้งแรก” ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในและระบบส่งกำลังแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV เท่านั้น


ในขณะเดียวกัน แฟนๆ ของ Panamera และ Cayenne ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินก็สามารถหายใจได้สบายๆ ทั้งสองรุ่นจะยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและไฮบริดไปจนถึงช่วงทศวรรษ 2030 โดย ปอร์เช่ ยืนยันว่ารุ่นต่อๆ มาได้ถูกวางแผนไว้ในแผน Cycle Plan ระยะยาว เพื่อรักษาตำแหน่งในสายการผลิตไว้เป็นเวลาหลายปีข้างหน้า ขณะที่รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ที่อยู่ในแผนก็ต้องถูกชะลอการเปิดตัวออกไปก่อน

ความต้องการรถยนต์ที่ใช้พลังไฟฟ้าในการขับเคลื่อนสำหรับกลุ่มตลาดรถยนต์ระดับหรูนั้นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากและช้ากว่ารถยนต์ทั่วไป ถึงแม้ว่าในยุโรปเองจะมีนโยบายของภาครัฐเข้ามากดดันโดยพาะในเรื่องของการเดินทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง


ความต้องการที่น้อยบวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์หรูลดลงตามไปด้วย และมีการประเมินแล้วว่าสภาพนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี ซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการของแบรนด์ระดับหรูโดยตรง เช่นเดียวกับแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งแหล่งข่าวภายในของ ปอร์เช่ เผยว่า การพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนของแบรนด์ถูกเลื่อนออกไปอีก จากเดิมที่คาดว่าจะได้เห็นรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ในปลายทศวรรษนี้ กลับกลายเป็นว่าต้องรอจนกว่าจะเข้าสู่ทศวรรษหน้า ทื่สำคัญหลายโปรเจ็กต์ถูกรื้อแผนและจำต้องมีการทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม Volkswagen ให้มากขึ้นเพื่อเป็นการลดต้นทุน โดย Volkswagen ถือหุ้นอยู่ใน Porsche 75.4%

ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม 2022 ปอร์เช่ ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนไว้ บริษัทต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายมากกว่า 80 % ภายในสิ้นทศวรรษนี้ แต่ปัจจุบัน Porsche ยังไม่แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuter เมื่อปี 2024 โฆษกของบริษัทกล่าวว่า "การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลานานกว่าที่เราคิดไว้เมื่อ 5 ปีก่อน"


ปอร์เช่ ไม่ใช่แบรนด์หรูรายแรกที่ยอมรับว่ากระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ Bentley เคยประกาศว่า ในปี 2030 รถยนต์ของพวกเขาทั้งหมดจะต้องขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแต่เป้าหมายดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปสามปี ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ยอมรับเช่นกันว่าพวกเขาก็กระตือรือร้นกับเป้าหมายการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน เดิมทีคาดการณ์ว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายครึ่งหนึ่งภายในปี 2025 แต่ตอนนี้หวังว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นภายในปี 2030 รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะยังมียอดขายที่ดีได้ต่อไปตลอดช่วงทศวรรษที่ 2030

นอกเหนือจากการวางแผนผลิตภัณฑ์แล้ว ปอร์เช่ ยังยอมรับว่าแรงกดดันจากทั่วโลกกำลังส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของบริษัท ทั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ตลาดรถยนต์หรูในจีนที่ซบเซาลง และแผนการเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ถูกชะลอ ล้วนเป็นปัจจัยที่หล่อหลอมให้บริษัทมีความระมัดระวังมากขึ้น Blume ยอมรับว่าแผนการปรับปรุงใหม่นี้ช่วยชดเชยความเสียหายได้เพียงบางส่วนเท่านั้น


ตัวอย่างเช่น การเลื่อนแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกไป จำเป็นต้องมีค่าเสื่อมราคาและการตั้งสำรองทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานในปี 2025 มากถึง 1.8 พันล้านยูโร หรือราวๆ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทไม่ได้คำนึงถึงในการคาดการณ์ล่าสุด

สำหรับปี 2025 ปอร์เช่ ยังคงคาดการณ์รายได้จากการขายไว้ที่ 37,000 ถึง 38,000 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรจะลดน้อยลงมาก โดยอัตราผลตอบแทนจากการขายคาดว่าจะอยู่ที่ 2% ลดลงอย่างมากจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 5-7% และกำไรระยะกลางลดลงจาก 15-17% มาอยู่ที่ 15%

Patrick Hummel นักวิเคราะห์ของ UBS กล่าวว่า "ไม่ว่าคุณจะเป็นสินค้าที่มีความหรูหรา หรือสินค้าที่ประสบความสำเร็จในเรื่องยอดขาย ตัวเลขที่บอกนี้ ไม่ใช่อัตรากำไรที่คาดว่าจะเห็นจากสินค้าทั้ง 2 ประเภทนี้”




กำลังโหลดความคิดเห็น