xs
xsm
sm
md
lg

ภาษี Trump ฉุดส่งออกรถญี่ปุ่นวูบ มาสด้า–มิตซูบิชิ เบนเข็มลุยตลาดอเมริกาใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้ว่านโยบายในการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump จะถูกศาลอุทธรณ์ของสหรัฐอเมริกาลงมติ 7 ต่อ 4 เสียงเห็นชอบว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยชี้ว่าประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของประเทศ แต่กว่าจะถึงจุดสิ้นสุดและมีการยกเลิกการใช้ อุตสาหกรรมของปลายประเทศก็ได้รับความบอบช้ำและเกิดผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าเบอร์ต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาอย่างญี่ปุ่น

ศาลในสหรัฐอเมริกาเริ่มพิจารณาถึงความไม่ถูกต้องในการประกาศนโยบายนี้ออกมา และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นก็เพิ่งตัดสินใจว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทุกอย่างไม่ได้จบสิ้นในทันทีเพราะยังเหลืออีก 2 ศาลในการต่อสู้และตัดสิน ซึ่งแม้ว่าศาลอุทธรณ์จะเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลชั้นต้น แต่แน่นอนว่า เรื่องนี้จะต้องจบลงที่ศาลฎีกาอย่างแน่นอน


ส่งออกญี่ปุ่นร่วง 4 เดือนติดต่อกัน รถยนต์ช้ำหนัก

ตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ยอดส่งออกของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าในอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายด้ายภาษีของ Trump ขณะที่การส่งออกรถยนต์ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นตลาดใหญ่ที่มีการลงทุนสร้างฐานการผลิตที่นั่น แต่ส่วนหนึ่งยังมีการส่งออกรถยนต์ทั้งคันไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับใช้ในการผลิตที่โรงงานในเมืองลุงแซม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ต่างได้รับผลกระทบในเชิงลบจากนโยบายนี้

กระทรวงการคลังรายงานว่า การส่งออกในเดือนสิงหาคมลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยรถยนต์และเหล็กกล้า แม้ว่าการส่งออกไปยังเอเชียและสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้นช่วยจำกัดการลดลงนี้ได้ก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถดึงตัวเลขการส่งออกกลับมาอยู่ในสภาพที่เคยเป็นก่อนหน้าการประกาศใช้นโยบายของ Trump นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2.0% ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็พบว่ามูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงมากที่สุดในรอบกว่าสี่ปี



ในแง่ของภาพรวม ดุลการค้าของญี่ปุ่นอยู่ในภาวะติดลบ โดยมียอดขาดดุล 242.5 พันล้านเยน (1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) การนำเข้าลดลง 5.2% เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัว 4.1%

การส่งออกของญี่ปุ่นที่ลดลงล่าสุดเกิดขึ้นในขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกยังคงเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายการค้าและกำแพงภาษีของ Trump สำหรับญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ผลกระทบจากการค้าทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางของประเทศตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวัฏจักรเชิงบวกระหว่างเงินเฟ้อ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง และการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“ด้วยอัตราภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ที่ 15% สำหรับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ คำถามคือบริษัทญี่ปุ่นจะตอบสนองอย่างไรในอนาคต” Takeshi Minami หัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัย Norinchukin Research Institute กล่าว “บริษัทอื่นๆ นอกเหนือจากผู้ผลิตรถยนต์อาจพยายามดูดซับผลกระทบจากภาษีศุลกากรด้วยการลดต้นทุน หากเป็นเช่นนั้น กำไรจะลดลง สร้างแรงกดดันธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งอาจทำให้ค่าจ้างแรงงานปรับตัวสูงขึ้นได้ยาก”


การส่งออกโดยรวมที่ลดลงนำโดยมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ลดลง 13.8% โดยรถยนต์เป็นปัจจัยหลัก การส่งออกไปยังจีนลดลง 0.5% และสินค้าไปยังยุโรปเพิ่มขึ้น 5.5%

มาตรการภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของรัฐบาลทรัมป์ยังคงส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีข้อตกลงต่างๆ เกิดขึ้นแล้วก็ตาม ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ ตกลงที่จะลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นจาก 27.5% เหลือ 15% และงดเว้นการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ทั่วไป 15% ใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้จนกระทั่งวันที่ 16 กันยายน นี้ 

ในเดือนสิงหาคม สหรัฐฯ ยังคงเป็นจุปลายทางหลักของการส่งออกของญี่ปุ่นรองจากจีน มูลค่าการส่งออกรถยนต์ไปยังอเมริกาลดลง 28.4% ขณะที่จำนวนรถยนต์ลดลง 9.5% ซึ่งเป็นรูปแบบที่บ่งชี้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังคงลดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขึ้นค่าจ้างในอัตราเดียวกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา


มาสด้า-มิตซูบิชิ ดิ้น มองหาตลาดใหม่

แน่นอนว่าในเมื่อตลาดสหรัฐอมเริกายังมีความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนด้านกำแพงภาษี และยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และเมื่อใด หลายบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นเริ่มมองหาทางออกใหม่ และตลาดใหม่อย่างละตินอเมริกา ซึ่งในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจของโลกในช่วงทศวรรษที่ 2000 ก็คือ ปลายทางของหลายๆ แบรนด์ ซึ่งก็คือ มาสด้า  และ มิตซูบิชิ

สำหรับ มาสด้า , มิตซูบิชิ และรวมถึง ซูบารุ  คือ กลุ่มบริษัทที่มีการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในญี่ปุ่นและฐานการผลิตนอกสหรัฐอเมริกาเข้าไปจำหน่ายในตลาดแห่งนี้ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นทำให้แบรนด์เหล่านี้ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ จากการเปลี่ยนนโยบายของ Trump

ก่อนหน้านี้ มิตซูบิชิ ได้ปรับลดประมาณการกำไรลงเกือบหนึ่งในสามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และการส่งออกของ มาสด้า  จากเม็กซิโกก็ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ Trump กำหนดภาษีนำเข้ารถยนต์ แม้ว่าอัตราภาษีที่ลดลง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ตามคำกล่าวของผู้เจรจาภาษีนำเข้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ครอบคลุมรถยนต์ที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ จากศูนย์กลางการผลิตหลักในเม็กซิโกและแคนาดา นั่นหมายความว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอาจยังคงเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นสำหรับรถยนต์จากประเทศเหล่านี้ แม้ว่ารถยนต์ที่เข้าข่ายภายใต้ข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือจะถูกเก็บภาษีเฉพาะรถยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ ก็ตาม


ซูบารุ ขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาได้ 668,000 คันในปีที่แล้ว มาสด้า มีตัวเลข 424,000 คัน และมิตซูบิชิ 110,000 คัน ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายจำนวน 2.3 ล้านคันของโตโยต้า 

ทางออกของแบรนด์เหล่านี้มีอยู่ไม่กี่ทาง ซึ่งทางหนึ่งคือ การขึ้นราคาขายซึ่งเปรียบเสมือนกับการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ที่ในตอนนี้ต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงการยุติการจำหน่ายรถยนต์บางรุ่น และร้ายแรงสุดคือ การถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐอเมริกาไปเลย เพราะไม่สามารถแบกรับกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะที่ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดแทบไม่มีอยู่สักเท่าไร

มิตซูบิชิ ได้ขึ้นราคารถยนต์มากที่สุดในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่เริ่มมีมาตรการภาษีศุลกากร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,403 เหรียญสหรัฐต่อคัน จากผลสำรวจในเดือนกรกฎาคมโดย CarGurus ตลาดออนไลน์ ซูบารุ ขึ้นราคามากที่สุดเป็นอันดับสามที่ 824 เหรียญสหรัฐต่อคัน


อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายในของทั้ง มาสด้า และ มิตซูบิชิ เริ่มมองหาทางออกด้วยการขยายฐานออกสู่ตลาดอย่างละตินอเมริกา ซึ่งแม้ว่าจะมีคู่แข่งอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ที่ยังเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และการแข่งขันที่ยังไม่สูงมาก บวกกับจำนวนประชากรของทวีปที่มีจำนวนมาก พร้อมกับนโยบายในเรื่องของภาษีจากทางภาครัฐที่ไม่กดดันมาก ทำให้ตลาดที่นี่มีความน่าสนใจ

แรงกดดันจากนโยบายของ Trump แม้ว่าจะถูกศาลตัดสินว่าไม่ถูกต้องก็ตาม แต่การตัดสินเพิ่งเริ่มมาแค่ 2 ศาลเท่านั้น ทุกอย่างถูกลากยาวจนถึงศาลฎีกาอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหากับประเทศคู่ค้าอย่างไรบ้าง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเข้าหรือส่งออกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องระบบ Ecosystem และ Supply Chain ทั้งหมดของบริษัทเหล่านั้นด้วยที่จะต้องปรับตัวใหม่ ในช่วงที่ยังไม่มีคำแน่นอนในเรื่องของการดำเนินต่อไป หรือจะต้องยกเลิกของนโยบายกำแพงภาษีของ Trump


กำลังโหลดความคิดเห็น