xs
xsm
sm
md
lg

แบรนด์ยุโรปเจอวิกฤตรอบด้าน – เกมยานยนต์ไฟฟ้าไม่ง่ายอีกต่อไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดูเหมือนว่าทศวรรษที่ 2020 ถือเป็นความท้าทายอย่างมากในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่เฉพาะในระดับประเทศ หรือภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในระดับโลกด้วย เมื่อบรรดาผู้ผลิตรถยนต์และบรรดาคนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของระบบการผลิตและพัฒนายานยนต์ต้องเจอกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตั้งแต่เรื่องของโรคระบาดใหม่อย่าง COVID-19 ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านนวัตกรรมและระบบการผลิต รวมถึงการพลิกโฉมหน้าของตลาดรถยนต์ด้วยยานยนต์พลังไฟฟ้า

ที่น่าตกใจและกังวลใจคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ค่อยๆ มา แต่ประดังเข้ามาแบบต่อเนื่องและบางครั้งมาพร้อมๆ กันทีเดียวหลายปัญหาเลย จนทำให้เกิดคำเรียกที่ว่า Polycrisis หรือ "วิกฤตหลายด้าน" ซึ่งหมายถึง อุปสรรคที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน มีความพันเกี่ยวและทวีความรุนแรงขึ้น จนก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการรวมปัจจัยต่างๆ เข้าด้วยกัน

สิ่งเหล่านี้มีตั้งแต่ทุนการผลิตที่สูงขึ้น ไปจนถึงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ การแข่งขันที่รุนแรง การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และแรงกดดันด้านกฎระเบียบ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ราบรื่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม (OEM) ชั้นนำต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างยิ่ง

และนี่คือ สภาพวิกฤตที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในประเทศยุโรปตะวันตกต้องเผชิญหน้า และจัดการแก้ปัญหา ก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างจังจนทำให้เกิดความสูญเสีย


“อุตสาหกรรมของเรากำลังเผชิญกับทั้งฝนตกหนัก ลูกเห็บ พายุ และหิมะในเวลาเดียวกัน” Ola Källenius CEO ของ Mercedes-Benz Group กล่าวให้ความเห็นผ่านทาง NBC News โดยในตอนนี้ ทางแบรนด์รถยนต์ในยุโรปต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิกฤตหลายด้านที่มาจากทั้งสภาพเศรษฐกิจ คู่แข่งในตลาด และก็รวมถึงนโยบายจากทางภาครัฐ ที่กำลังเร่งเร้าให้บรรดาบริษัทต่างๆ เดินหน้าสู่โลกแห่งการขับเคลื่อนที่ปลอดมลพิษ

‘Polycrisis คือ สิ่งที่อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนและเห็นภาพที่สุด’ Sigrid de Vries ผู้อำนวยการของ European Automobile Manufacturers’ Association (ACEA) ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ด้านยานยนต์ในยุโรปกล่าว โดย ACEA เป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 16 รายในยุโรป ซึ่งรวมถึง Volkswagen, BMW, Ferrari, Renault และ Volvo

‘การก้าวไปสู่ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์นั้นถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งอยู่แล้ว และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้ และเส้นทางหลักคือยานยนต์ไฟฟ้า และจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป” de Vries กล่าวต่อ ‘แต่ปัญหาคือ พวกเขาไม่มองเห็นทางออกอื่นๆ ให้กับภาคเอกชนเลย เพราะสหภาพยุโรปมีกฎระเบียบด้านการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ “ทะเยอทะยานที่สุด” และ “เข้มงวดที่สุด” ของโลก’

ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการของสหภาพยุโรปที่จะบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050 กลุ่มประเทศสมาชิก 27 ประเทศได้กำหนดให้รถยนต์ใหม่จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 55% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับระดับในปี 2021 โดยสหภาพยุโรปยังได้กำหนดเป้าหมายให้รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไปต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ซึ่งเท่ากับเป็นการยุติการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลใหม่ สหภาพยุโรปได้ยืนยันเป้าหมายนี้อีกครั้ง แม้จะมีแรงกดดันทางการเมืองและการล็อบบี้อย่างหนักหน่วงให้ผ่อนปรนแนวทางการดำเนินงานก็ตาม



ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ดี แต่แนวทางปฏิบัติต่างหากที่มีความสำคัญ การผ่อนปรนและยืดหยุ่นคือ ทางออกของการลดแรงกดดันที่ส่งลงมายังภาคเอกชน แต่ดูเหมือนว่ากรรมาธิการในสหภาพยุโรปจะมองข้ามข้อนี้ ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของรัฐบาลจีนอย่างชัดเจน

“สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือความแน่นอนของกฎระเบียบ กฎระเบียบของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการลดการปล่อยมลพิษนั้นแย่มาก ในขณะที่จีนให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ของตนอย่างมาก กฎระเบียบของสหภาพยุโรปกลับส่งผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง” Rella Suskin นักวิเคราะห์ของ Morningstar กล่าว

สำหรับประเทศจีน รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศผ่านมาตรการทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง เช่น เงินอุดหนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษี และเงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า จนเกิดการพลิกโฉมครั้งสำคัญ และกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดรถยนต์ทั่วโลก

“กฎระเบียบต่างๆ บังคับให้แบรนด์รถยนต์ยุโรปต้องลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกระบวนการผลิตใหม่ๆ โดยเฉพาะในรถยนต์ไฟฟ้า แต่แรงจูงใจต่างๆ และความต้องการใช้งานดันกลับลดลง แถมรถยนต์พลังไฟฟ้าก็ถูกรุกรานจากแบรนด์จีนด้วย ดังนั้น คุณจึงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน มหาศาลนี้ แต่คุณไม่มีรายได้เพียงพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายเหล่านั้น” Suskin ให้ความเห็นเพิ่มเติม

ไม่ใช่แค่ Suskin เท่านั้นที่มองเห็นภาพเช่นนี้ ทางด้าน Henner Lehne รองประธานฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลการแข่งขัน การวิเคราะห์ตลาด และการคาดการณ์ของ S&P Global Mobility ก็เห็นในภาพเดียวกัน และกล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ตะวันตก “กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง” โดยมีแรงกดดันเชิงระบบหลายประการมาบรรจบกัน เรียกว่าแม่น้ำทุกสายแห่งปัญหาไหลมารวมอยู่ที่นี่ และผลกระทบไม่ได้มีแค่บริษัทรถยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาซัพพลายเออร์ทั้งหลายด้วย

บรรดาซัพพลายเออร์ในยุโรปต่างขยับตัวตามการประกาศของแบรนด์รถยนต์ที่เปิดเผยออกมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 2020 ในการเดินหน้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า และได้ทุ่มทุนจำนวนมากในการพัฒนาแพลตฟอร์มไฟฟ้าและดิจิทัล แต่การนำไปใช้ในตลาดยังคงล่าช้า และปริมาณการผลิตก็ลดลง สถานการณ์เช่นนี้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีต่อความคาดหวังในผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ในทางกลับกัน ของที่กำลังถูกทิ้งกลับคืนชีพขึ้นมาเพราะแพลตฟอร์มเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งก่อนหน้านี้มีกำหนดจะเลิกใช้ กำลังได้รับการพิจารณาใหม่


ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์จีนยังคงเป็นข้อกังวลอย่างต่อเนื่องสำหรับแบรนด์รถยนต์ในยุโรป ขณะที่ระบบภาษีศุลกากรของรัฐบาล Trump และแนวโน้มการกีดกันทางการค้าในวงกว้างกำลังปรับเปลี่ยนพลวัตการค้าโลก

‘หลายอย่าง หลายปัญหา เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และพุ่งตรงกลับมาที่แบรนด์รถยนต์เหล่านี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือ ช่วงเวลาแห่งความท้าทายและความฉลาดในการปรับกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง’ Lehne กล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าบางส่วนจะมองว่าเป็นปัญหาหรือวิกฤต แต่บางส่วนก็ยังมองว่า ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปยังพอมีแนวทางที่จะเอาตัวรอดจากสิ่งที่เกิดขึ้น และมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน และผู้ผลิตต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ตลาดแบบใหม่ ที่บางค่ายอาจจะต้องปรับตัวหันมาสู่การผลิตรถยนต์ที่เน้นในเชิงมูลค่าหรือกำไรต่อหน่วยมากกว่าการผลิตในเชิงปริมาณอย่างที่เป็นอยู่

‘ตัวเลขยอดขายอาจจะไม่สำคัญเท่ากับกำไรต่อคันที่เกิดขึ้น นี่คือ สิ่งที่หลายแบรนด์เริ่มมองหา และปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับเรื่องนี้ จริงอยู่ที่ตัวเลขยอดขายยังสำคัญ โดยเฉพาะในเชิงจิตวิทยา แต่กำไรที่เกิดขึ้นในปีธุรกิจต่างหากละ ที่จะทำให้บริษัทเดินไปข้างหน้า และการปรับตัวให้รวดเร็วคือ สิ่งที่จะทำให้พวกเขาสามารถเดินต่อไปได้’ Suskin กล่าว

ดังนั้น เราจึงได้เห็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากยุโรปพยายามนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฮบริด แทนที่จะเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าเหมือนกับช่วงต้นทศวรรษที่ 2020 รวมถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า และการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทจีนสำหรับโปรดักต์ที่เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า

ในยุคนี้ การปรับตัวให้เร็วเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ และคำว่าปลาเร็วกินปลาช้า ยังสื่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนอยู่เสมอ


กำลังโหลดความคิดเห็น