ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลกครึ่งแรกปี 2025 ขยายตัวโดดเด่น ยอดขายพุ่ง 9.1 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% แต่หลายฝ่ายยังมองว่าครึ่งหลังอาจสะดุดจากปัจจัยลบ โดยเฉพาะจีนที่เผชิญแรงกดดันทั้งเรื่องเงินอุดหนุนหายและปัญหารถมือสองศูนย์ไมล์ ขณะเดียวกันผู้ผลิตจีนเร่งขยายการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าภายในประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อหาทางออกท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงและกำแพงภาษี
แม้ว่าจะมีการเปิดเผยออกมาว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ที่รวมรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ไฮบริดทั้งแบบ PHEV และ EREV จะมีการขยายตัว ด้วยตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แต่ทว่าหลายฝั่งยังเชื่อว่ายอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ในปีนี้อาจจะไม่ได้มีตัวเลขเปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่ตลาดใหญ่อย่างจีนกำลังประสบปัญหาในด้านยอดขายอันเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงลบทั้งในเรื่องการยกเลิกเงินสนับสนุนและเรื่องอื้อฉาวอย่างรถยนต์มือสองไมล์ศูนย์ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในประเทศจีนในตอนนี้
ครึ่งแรกของปี 2025 ขยายตัว 28%
Rho Motion บริษัทในเครือ Benchmark Mineral Intelligence ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 (มกราคม-มิถุนายน) ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอยู่ที่ 9.1 ล้านคัน หรือเติบโตขึ้น 28% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนมิถุนายน 2025 ถือเป็นอีกเดือนที่ตลาดทำตัวเลขได้ค่อนข้างดี โดยเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2024 ถึง 24% และเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเปรียบกับเดือนก่อนหน้านั้น ซึ่งก็คือ พฤษภาคม 2025 และเมื่อแบ่งตลาดออกมาแล้ว ยังถือเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์ประเภทนี้ โดยมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุดคือ 60.4% โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ในจีนอยู่ที่ 5.5 ล้านคันหรือเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเปรียเทียบกับปีก้อนหน้า ตามด้วย ยุโรปมีตัวเลข 2 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ขณะที่ตลาดอเมริกาเหนือ ดูเหมือนว่าความนิยมในส่วนของรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV และพวกไฮบริดแบบเสียบปลั๊กดูจะยังไม่มีทีท่ากระเตื้องขึ้น แถมนโยบายของรัฐบาลในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการผลักดันให้เป็นตลาดสำหรับรถยนต์ในกลุ่มนี้ ก็เลยทำให้ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายอยู่ที่ 0.9 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 0.7 ล้านคันเป็นตลาดกลุ่มอื่นๆ ทั่วโลกรวมกัน ซึ่งก็เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 40%
ปัจจัยลบรออยู่ตลาดอาจจบไม่แรงอย่างที่คิด
ตามการคาดการณ์ของ S&P Global Mobility ที่เปิดเผยเมื่อปลายปี 2024 มีการระบุว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์ในกลุ่มพลังงานใหม่น่าจะสูงในระดับ 15 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเปรียบเทียบจากปีที่แล้ว ขณะที่ Fleet World คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 20 ล้านคันหรือเพิ่มขึ้นราวๆ 18%
แน่นอนว่าเมื่อมองจากตัวเลขครึ่งเลขของปีถือว่าโอกาสที่จะแตะ 20 ล้านคันตามการคาดการณ์ของ Fleet World มีความเป็นไปได้ แต่จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนในตลาดแห่งต่างๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา และจีน ทำให้หลายยังคงกังวลว่ายอดขายของครึ่งหลังปี 2025 อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร
สิ่งแรกคือ เรื่องของข่าวการส่งออกรถยนต์มือสองศูนย์ไมล์ของจีนที่สร้างปัญหาในเรื่องความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับทั้งลูกค้าในประเทศจีนเอง และลูกค้าต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักของแบรนด์จีน และอีกเรื่องคือภาครัฐไม่ได้มีการสนับสนุนในด้านเงินช่วยเหลือเพื่อทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั้นก็ไม่มีการดำเนินแผนงานนี้ต่อเหมือนกับช่วงต้นปี ทำให้ยอดขายอาจจะมีอาการกระตุกจนถึงแผ่วได้
ขณะที่ยุโรป ในแง่ภาพรวมของครึ่งแรกในปี 2025 ถือว่าค่อนข้างดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดสเปนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโต 85% นับตั้งแต่ต้นปี โดยทางภาครัฐเองได้เปิดตัวโครงการจูงใจที่ซึ่งช่วยผลักดันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 และยังได้ขยายโครงการ MOVES III ออกไปจนถึงสิ้นปี ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ส่วนอีก 2 ตลาดที่จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนคือ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ซึ่งมีตัวเลขการเติบโตในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 32 และ 40% ตามลำดับ
แต่ด้วยเหตุที่ยุโรปมีส่วนแบ่งของตลาดเพียงแค่ 30% โดยประมาณ ดังนั้น จึงเป็นเรื่อยากมากที่จะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนให้ยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าในช่วงหลังของปีเดินหน้าและขยายตัวตามที่ถูกวางเอาไว้
จีนขยายแนวรุก ลงทุนในตลาดต่างแดนมากขึ้น
แม้ว่าในตลาดบ้านตัวเอง แนวโน้มหรือทิศทางของยอดขายอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วยตัวเลขแบบก้าวกระโดด แต่ดูเหมือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ในจีนหลายค่ายมองเห็นถึงจุดอิ่มตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการเปิดเผยว่า พวกเขาเริ่มทยอยลงทุนในตลาดนอกประเทศอย่างจริงจัง จนตอนนี้ มูลค่าการลงทุนนอกประเทศจีนมีมูลค่าแซงหน้าการลงทุนในบ้านตัวเองไปแล้ว
จากการเปิดเผยของ Rho Motion ที่เก็บข้อมูลย้อนหลังไปจนถึงปี 2014 มีการระบุว่า ตอนนี้ถือเป็นครั้งแรกแล้วที่มูลค่าการลงทุนในประเทศจีนมีน้อยกว่าการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งแผนการนี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศและภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ดังนั้น การส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศสามารถช่วยให้ธุรกิจจีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างประเทศในการขยายตลาด
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะตอนนี้ บริษัทจากจีนถูกกีดกันทางการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่สูงลิ่วจากทั้งในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป ทั้งที่เกือบ 75% ของการลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่เพื่อป้อนในระบบวงจรการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าก็ตาม ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ เช่น GWM หรือ Great Wall Motor ก็มีการประกาศเปิดโรงงานแห่งแรกในบริลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เช่นเดียวกับ BYD ที่มีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแห่งแรกในบราซิลเช่นกัน
Toyota ทยอยเปิดตัวรถไฟฟ้าใหม่ต้นปี 2026
แม้ข้อกำหนดในเชิงนโยบายและสภาพตลาดที่มีแนวโน้มเริ่มอิ่มตัวจะเห็นปัจจัยเชิงลบที่อาจจะส่งผลต่อภาพรวมของตลาดในช่วงปลายปี 2025 แต่ทว่าการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ออกสู่ตลาด ก็เป็นอีกเงื่อนไขในการที่จะช่วยเพิ่มยอดขายด้วยเช่นกัน
มีการยืนยันว่าในช่วงปลายปี 2025 ต่อไปจนถึงต้นปี 2026 Toyota ซึ่งเริ่มกลับมาเปิดแนวรุกในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า ยืนยันว่าจะมีการเปิดตัวทางเลือกใหม่ๆ ออกมาทั้งหมด 10 รุ่นด้วยกัน หลังจากที่ทั้ง Lexus และ Toyota มีรถยนต์พลังไฟฟ้าขายอยู่ในตลาดแค่ 3 รุ่นและมียอดขายรวมกันไม่เกิน 25,000 คันในปีที่แล้ว
“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ที่สำคัญ” Koji Sato ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในการแถลงข่าวที่มีขึ้นในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
จากการวิเคราะห์ของ S&P Global Mobility ระบุว่า รถยนต์พลังไฟฟ้ายังเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของแบรนด์ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา Toyota จะออกตัวค่อนข้างช้าในการรุกเข้าสู่ตลาดกลุ่มนี้ โดยภายในปี 2026 พวกเขาคาดหมายว่าจะต้องมียอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้ามากถึง 1.5 ล้านคันให้ได้ และนี่จึงเป็นที่มาของการเร่งเปิดตัวทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2025 ต่อปี 2026
และถ้าเป็นไปตามแผนงานจริง เราจะได้เห็นตัวเลขยอดขายของรถยนต์พลังไฟฟ้ามีตัวเลขมากกว่ารถยนต์ไฮบริด (คาดหมายยอดขายราวๆ 1.25 ล้านคัน) ซึ่งเมื่อก่อนคือเสาหลักในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเลยก็ว่าได้