จีนคือสมรภูมิรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่และดุเดือดที่สุดในโลก โดยครองสัดส่วนเกือบ 50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ
สถานการณ์ต้นปี 2025 เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจชะลอตัว สต็อกสินค้าล้น และความต้องการที่ลดลง ทำให้ผู้ผลิตต้องงัดกลยุทธ์ลดราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
BYD: ผู้เปิดศึกสงครามราคา
BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดอันดับหนึ่งของโลก ประกาศลดราคารถยนต์ 22 รุ่น สูงสุดถึง 34% โดยรุ่นเด่นอย่าง Seagull EV เหลือเพียง 55,800 หยวน หรือราว 285,000 บาท ซึ่งถูกกว่ามอเตอร์ไซค์บางรุ่นเสียอีก
การลดราคาครั้งนี้เริ่มเมื่อต้นปี และเข้มข้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม เพื่อเคลียร์สต็อกและกระตุ้นยอดขายที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ
เป้าหมายของ BYD คือรักษาความเป็นผู้นำในตลาดที่มีผู้เล่นกว่า 100 ราย ด้วยจุดแข็งด้านห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและการควบคุมต้นทุน ทำให้สามารถลดราคาได้โดยยังรักษาความสามารถในการทำกำไร
แน่นอนการลดราคาของ BYD สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่งในจีน และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ ได้ตอบโต้ด้วยการเสนอส่วนลดและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น
• NIO เสนอส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 หยวนสำหรับรุ่น ES6, ES7 และ ES8
• Li Auto มอบเงินสนับสนุน 15,000 หยวนต่อคัน พร้อมแผนการเงินปลอดดอกเบี้ย 3 ปี
• XPeng ขยายระยะเวลาส่วนลด 20,000 หยวนสำหรับรุ่น G6 SUV
• ผู้ผลิตต่างชาติ เช่น Volkswagen, BMW และ Toyota ได้ลดราคาสูงสุดถึง 20% เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
ที่สำคัญการลดราคาของ บีวายดี ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น อีวี ร่วมหนัก โดยหุ้น BYD เองร่วง 8.6% ในวันเดียว สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อสงครามราคาที่อาจบีบอัตรากำไรของผู้ผลิต
ขณะเดียวกันหุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ เช่น NIO, XPeng, Li Auto, Geely และ Great Wall Motors ปรับตัวลดลงระหว่าง 2% ถึง 8%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากจีนเชื่อว่า ในระยะยาว สงครามราคาอาจนำไปสู่การควบรวมกิจการในอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้เล่นรายเล็กอาจอยู่รอดได้ยาก
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ BYD ไม่เพียงเขย่าคู่แข่งในจีน แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก