เมื่อเริ่มต้นปี 2025 บรรดานักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างมองว่าน่าจะเป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อยสำหรับตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า โดยเฉพาะแบรนด์จีน เพราะการหดตัวของเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายด้านภาษีนำเข้าทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรป และนั่นยังไม่รวมการเกิดเหตุการณ์หลายต่อหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้กับแบรนด์ และการที่ตลาดเริ่มมีการเปิดตัวทางเลือกของรถยนต์พลังงานใหม่อย่าง E-REV หรือ Extended Range Electric Vehicle ออกมาเสริมตลาด นอกเหนือจาก PHEV-Plug-in Hybrid Electric Vehicle และ BEV-Battery Electric Vehicle ที่มีอยู่ในตลาดก่อนหน้านั้น
แต่เมื่อควอเตอร์แรกผ่านไป ดูเหมือนตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบในเชิงตัวเลขยอดขายอย่างที่คาดหมาย และตลาดยังคงเดินไปได้อย่างที่เป็น แถมยังมีการเปิดตลาดในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษี เช่นเดียวกับการที่ BYD สามารถช่วงชิงการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า-BEV ด้วยยอดจดทะเบียน ที่สามารถแซงหน้า Tesla ได้เป็นครั้งแรก
ยอดขายในจีนยังไปได้สวย
หลังจากช่วงไตรมาสแรกของปี ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่หรือ NEV ในจีนจะออกอาการชะงักด้วยยอดขายที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะในเดือนมกราคมและมีนาคม แต่เมื่อเข้าสู่เดือนมีนาคมและเมษายน ตลาดสามารถดีดตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นจากเดิมเยอะมาก
จากการเปิดเผยของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์จีน หรือ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) เปิดเผยว่าในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV กวาดยอดขายในจีนได้มากกว่า 1.226 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 44.2% แต่ลดลง 0.9% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2025
เมื่อแยกประเภทออกมาพบกับความน่าสนใจตรงที่ตลาดรถยนต์ BEV ยังไปได้ดี เพราะในเดือนเมษายนมีตัวเลขยอดขายถึง 822,000 คัน หรือคิดเป็น 67% ของยอดขายรวมในกลุ่ม NEV และเพิ่มขึ้น 2 % เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม ขณะที่ยอดขายของ PHEV ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่ม NEV นั้นมียอดขายอยู่ที่ 403,000 คันหรือคิดเป็น 33% ของยอดขายรวมในกลุ่ม NEV แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคมจะลดลง 6.5%
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในแง่ของภาพรวมยอดขายรถยนต์ทุกแบนด์ในจีนแล้ว ตัวเลขของเดือนเมษายนอยู่ที่ 2.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายนปีที่แล้ว แต่ปรับตัวลดลง 11.2% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม โดย NEV ครองสัดส่วนยอดขายในระดับ 47.3% ขณะที่รถยนต์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้มีสัดส่วน 52.7%
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นหลังจากที่ในอดีตยอดขายของรถยนต์ NEV มีส่วนแบ่งในตลาดเกิน 50% และแซงหน้ารถยนต์แบบเดิมๆ ไปแล้วว่า อาจจะเป็นเพราะการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรถยนต์ไฮบริดจะไม่ถูกรวมอยู่ในกลุ่ม NEV และคนจีนเริ่มให้ความสนใจกับยานยนต์ประเภทนี้มากขึ้นเพราะมีความยืดหยุ่นในการใช้งานได้ดีกว่า
ยอดส่งออกก็ยังไปได้ดี
เดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนมียอดส่งออกรถยนต์รวม 517,000 คัน เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดนับจากเดือนตุลาคม 2024 เป็นต้นมา
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV จำนวน 200,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 76% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และถือเป็นตัวเลขส่งออกของกลุ่ม NEV ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนอีก 140,000 คันเป็นตัวเลขส่งออกของ BEV ซึ่งเพิ่มขึ้น 57.5% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม
นักวิเคราะห์เผยว่าส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นในส่วนของการส่งออกนั้น เป็นเพราะช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ หลายแบรนด์เริ่มทยอยขยายตลาดนอกประเทศจีน ทั้งในกลุ่มอาเซียน และยุโรป ซึ่งแบรนด์อย่าง BYD เปิดตัวโชว์รูมและเข้าสู่ตลาดหลายแห่ง เช่น โครเอเชีย โรมาเนีย และเปรู ซึ่งนั่นเมื่อถึงเวลาทำตลาด ความต้องการที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะยังไม่ได้มีมากนัก แต่เมื่อรวมกับกลุ่มประเทศเดิมที่แบรนด์จีนเข้าไปเจาะตลาดอยู่ก่อนหน้านั้น ถือว่าช่วยส่งเสริมให้ตัวเลขการส่งออกดีขึ้น
เดือนพฤษภาคมยังพุ่งต่อเนื่อง
แม้ว่าเดือนพฤษภาคมจะยังไม่จบลง แต่ทาง CAAM ได้เปิดเผยถึงทิศทางในช่วงครึ่งแรกของเดือนออกมาแล้ว และมีแนวโมว่าผลงานในเชิงตัวเลขของแบรนด์รถยนต์ในจีนยังไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขในช่วง 1-18 พฤษภาคมนั้น ทาง CAAM ระบุว่ามีอยู่ในระดับ 484,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน
นั่นหมายความว่า จากเดิมที่หลายฝ่ายคิดว่าตลาดรถยนต์จีนจะได้รับผลกระทบมาจากความเชื่อมั่นและสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้น กลับกลายเป็นว่าตัวเลขที่ออกมาสามารถทะยานออกมาได้
และเมื่อรวมผลงานตั้งแต่ต้นปีจนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคมนั้น ตัวเลขยอดขายรถยนต์กลุ่มพลังงานใหม่ หรือ NEV มีผลงานที่ค่อนข่างดีเลย มีตัวเลขสะสมอยู่ที่ 3.808 คัน หรือเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนั้น ทาง CAAM ยังได้มีการประเมินถึงความเป็นไปได้ว่า หากตัวเลขการขายยังมีอัตราที่คงที่และสม่ำเสมออยู่ เชื่อว่า ยอดขายรถยนต์ NEV ในเดือนพฤษภาคมน่าจะมีตัวเลขเฉียด 1 ล้านคัน หรืออยู่ที่ 980,000 คัน ส่วนยอดขายรวมรถยนต์ทุกประเภทในเดือนนี้น่าจะอยู่ที่ 1.89 ล้านคัน ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อเบรกสัดส่วนออกมาแล้ว จะเป็นอีกเดือนที่รถยนต์ NEV สามารถครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดเกิน 50% โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 52.9%
ส่วนหนึ่งที่ยอดขายดำเนินมาได้ด้วยดีนั้นเป็นเพราะในช่วงวันแรงงาน ซึ่งถือเป็นเทศกาลวันหยุดที่สำคัญของจีน แบรนด์ต่างๆ ได้นำเสนอแคมเปญที่น่าสนใจออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะส่วนลดที่จะนำมาใช้ในการลดราคารถยนต์ รวมถึงในแต่ละที่มีการจัดงานโชว์รถยนต์ระดับท้องถิ่นหลายแห่ง
BYD ทำยอดจดทะเบียนแซง Tesla
ไม่ใช่แค่ในตลาดจีนที่เป็นตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกเท่านั้น ในตลาดยุโรป ซึ่งแบรนด์จีนจะต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องกำแพงภาษีนำเข้าไม่แพ้ในสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็ยังประสบความสำเร็จในแง่ตัวเลขด้วยเช่นกัน และครั้งนี้เป็นเรื่องของยอดจดทะเบียนในตลาดยุโรปตะวันตก
จากการเปิดเผยของ CNEVPOST สื่อออนไลน์ด้านรถยนต์พลังไฟฟ้า มีการระบุว่า BUD ทำยอดจดทะเบียนแซงหน้าแบรนด์รถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนชื่อดังอย่าง Tesla ได้เป็นครั้งแรก โดยในเดือนที่ผ่านมา ยุโรปมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่จำนวน 1,078,521 คัน เพิ่มขึ้น 1,399 คันเมื่อเปรีบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับ BYD มียอดจดทะเบียนจำนวน 7,231 คัน มากกว่า Tesla จำนวน 115 คัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของ BYD แซงหน้า Tesla ตลาดนอกจีน แถมยังเป็นตลาดใหญ่อย่างยุโรปอีกด้วย
Jato Dynamics บริษัทด้านการตลาดและวิจัยเผยว่า ตัวเลขยอดจดทะเทียนทั้งหมดมาจาก 28 ประเทศในยุโรปตะวันตก และเป็นตัวเลขที่รวมรถยนต์ทุกแบบทุกประเภท เพียงแต่ BYD และ Tesla ถือเป็น 2 แบรนด์ที่โฟกัสการทำตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV และถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงมาตลอด
Felipe Munoz นักวิเคราะห์ระดับโลกจาก JATO กล่าวว่า “แม้ว่ายอดขายรายเดือนของทั้งสองแบรนด์จะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ผลกระทบกลับมีมหาศาล นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับตลาดรถยนต์ในยุโรป โดยเฉพาะเมื่อคุณพิจารณาว่า Tesla เป็นผู้นำตลาด BEV ของยุโรปมาหลายปีแล้ว ขณะที่ BYD เพิ่งเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการนอกประเทศนอร์เวย์และเนเธอร์แลนด์เมื่อปลายปี 2022 มันจึงถูกมองว่านี่คือสัญญาณของอะไรบางอย่าง และอาจจะส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาได้”
และTesla อาจจะเป็นอีกแบรนด์ที่สูญเสียบัลลังก์ในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV ให้กับผู้รุกรานจากจีนอย่าง BYD ก็เป็นได้ หากพวกเขายังไม่ขยับตัวในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ประเภทนี้