xs
xsm
sm
md
lg

ภาษีรถยนต์สหรัฐฯ พุ่ง 25% ซัดส่งออกชิ้นส่วนไทยสะเทือนหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ ภายใต้มาตรา 232 และภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน และชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงถึง 6,426 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 14% ของการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนทั้งหมดของไทย และ 1.2% ของ GDP ไทย

สหรัฐฯ กับนโยบายภาษีเพื่อดึงการลงทุน

สหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนการนำเข้า 20% ของมูลค่าทั่วโลก แต่ผลิตในประเทศเพียง 10 ล้านคันต่อปี ขณะที่ความต้องการในประเทศสูงถึง 16 ล้านคัน เพื่อดึงดูดการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้มาตรการภาษีนำเข้า 25% ภายใต้มาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า พ.ศ. 2505 และเพิ่มภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับชิ้นส่วนบางประเภท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงไทย



ผลกระทบต่อการส่งออกไทย

การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีส่วนแบ่ง 26% ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษี 25% ตามมาตรา 232 โดยเฉพาะชิ้นส่วนต่อไปนี้:

• ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง: เช่น กระปุกเกียร์และเพลาขับที่มีหม้อเพลา
• ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน: เช่น ล้อและส่วนประกอบล้อ รวมถึงพวงมาลัย
• ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: เช่น อุปกรณ์ส่องสว่างและหัวเทียน


ชิ้นส่วนตัวถังและอุปกรณ์ภายใน เช่น ถุงลมนิรภัย ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง ส่วนยางรถยนต์และเครื่องยนต์ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนต่ำและมีตลาดอื่นรองรับ เช่น อาเซียนและแอฟริกาใต้



รถยนต์ไทยในสหรัฐฯ: ผลกระทบจำกัด

สำหรับรถยนต์ การส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษี 25% ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 3 เมษายน 2568 เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ใช่ตลาดหลักของรถยนต์ไทย และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก 36,000 คันที่เคยส่งออกในปี 2567 มีแผนยุติการจำหน่ายในสหรัฐฯ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้การส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ ในอนาคตยากลำบากขึ้น

มาตรการชดเชยภาษี: ช่วยได้จำกัด

สหรัฐฯ ประกาศคืนเงินชดเชยภาษีนำเข้าสำหรับชิ้นส่วน OEM ที่ใช้ประกอบรถยนต์ในประเทศตั้งแต่ 29 เมษายน 2568 แต่มาตรการนี้ช่วยชิ้นส่วนไทยได้เพียงบางส่วน เนื่องจาก:


• เงินชดเชยมีจำกัด ค่ายรถเลือกชดเชยเฉพาะชิ้นส่วนบางรายการ
• ชิ้นส่วนอะไหล่ (REM) ซึ่งเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งของการส่งออกชิ้นส่วนไทย เช่น ยางรถยนต์และหัวเทียน ไม่ได้รับเงินชดเชย ทำให้ต้องแบกรับภาษี 25% เต็มจำนวน

หลังสิ้นสุดระยะผ่อนผัน 2 ปี คาดว่าสหรัฐฯ จะเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนภายในประเทศ ลดการนำเข้าชิ้นส่วนมูลค่าสูง เช่น เครื่องยนต์และชิ้นส่วนไฟฟ้า


ประเด็นที่ต้องจับตา

1. ภาษีศุลกากรตอบโต้: ภาษี Reciprocal Tariff สูงถึง 36% อาจกระทบชิ้นส่วน เช่น ไส้กรองน้ำมันและท่อไอเสีย หากไม่มีการปรับลดหลังครบกำหนดผ่อนผัน 90 วัน
2. การส่งออกชิ้นส่วน OEM: อาจลดลงในประเทศที่ส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโกและญี่ปุ่น เนื่องจากสหรัฐฯ ลดการนำเข้ารถยนต์
3. การแข่งขันในตลาดนอกสหรัฐฯ: การส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ยากขึ้นอาจทำให้การแข่งขันในตลาดอื่นทวีความรุนแรง
4. การย้ายฐานผลิต: บริษัทข้ามชาติที่มีฐานผลิตในสหรัฐฯ อาจย้ายการผลิตชิ้นส่วนบางส่วนจากไทยไปสหรัฐฯ เพื่อลดต้นทุนภาษี


ทางออกสำหรับไทย


เพื่อรับมือผลกระทบ ไทยควรมุ่งหาตลาดส่งออกใหม่ เช่น อาเซียนและแอฟริกาใต้ พร้อมพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนให้แข่งขันได้ในตลาดโลก รวมถึงเจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯ และปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

หทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล  เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส
ที่มา:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย



กำลังโหลดความคิดเห็น