xs
xsm
sm
md
lg

ลองขับ “Mitsubishi XForce HEV” ไฮบริดสายลุย ขับดีทุกโหมด มั่นใจ เกาะถนน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดทริปทดสอบสมรรถนะ All-New Mitsubishi XForce HEV รถ SUV ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด บนเส้นทางภูเก็ต-กระบี่  และกระบี่-ภูเก็ต กับการขับทดสอบจริงผ่านทั้งถนนออนโรด -ออฟโรด แบบจำลอง, ทางชัน ,ทางเปียก และทางลูกรัง ด้วยระยะทางรวมไป-กลับ 400 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์ความสามารถของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด และระบบควบคุมการทรงตัวขั้นสูง AYC (Active Yaw Control) ที่บรรจุอยู่ในรถคันนี้


ทดสอบทางฝุ่นและโคลน ระบบขับเคลื่อนจัดการได้อยู่หมัด

การทดสอบเริ่มต้นด้วยการจำลองเส้นทางออฟโรดเบา ๆ ที่ทีมงานมิตซูบิชิจัดไว้ โดยเปิดให้สื่อมวลชนได้สัมผัส โหมด Gravel และ Mud Mode ซึ่งเป็นโหมดขับขี่สำหรับเส้นทางท้าทาย Gravel Mode ถูกออกแบบมาสำหรับการขับบนทางกรวดหรือทางลูกรัง โดยปรับระบบพวงมาลัยให้หนืดขึ้น พร้อมเปิดการทำงานของระบบ AYC เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพ เมื่อรถเจอพื้นเปียก สะท้อนถึงความมั่นใจที่ช่วงล่างและระบบควบคุมสร้างให้ แม้วิ่งที่ความเร็วประมาณ 40 กม./ชม. ตัวรถทรงตัวดีเยี่ยม ไม่มีอาการโยนหรือดิ้นให้รู้สึกต้องลุ้น



เมื่อเข้าสู่ทางโคลนลื่น เราเปลี่ยนมาใช้ Mud Mode ระบบจะปรับตัด AYC และลดการตอบสนองของระบบ Traction Control ลงเล็กน้อย เพื่อให้แรงบิดส่งถึงล้อได้ต่อเนื่อง ลดโอกาสติดหล่ม ซึ่งผลลัพธ์คือ รถผ่านอุปสรรคได้อย่างน่าประทับใจ แรงบิดกระจายดี ควบคุมง่าย ถึงจะมีอาการดิ้นบ้างก็สามารถควบคุมได้ด้วยพวงมาลัยที่แม่นยำ ทำให้รู้เลยว่าระบบควบคุมใน XForce HEV ไม่ได้มาเล่น ๆ


เส้นทางจริงบนถนนทั่วไป โหมด Normal และ Tarmac ตอบโจทย์ทั้งขาขึ้นและขาลง

จากนั้นเข้าสู่ถนนจริง เริ่มต้นเราใช้ Normal Mode ซึ่งมีปรับสมดุลของการทำงานทั้งเครื่องยนต์ พวงมาลัย และช่วงล่างให้เข้ากันได้ดี นุ่มนวล เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกคือรถขับง่ายมาก ทั้งช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง อัตราเร่งตอบสนองได้ทันใจแบบที่รู้สึกว่าแรงมาทันทีที่กดคันเร่ง



เมื่อลุยถึงเส้นทางเขานางหงษ์ ที่มีความชันและโค้งโหด เราเปลี่ยนเป็น Tarmac Mode ซึ่งให้การตอบสนองคล้ายโหมด Sport รอบเครื่องถูกปรับให้สูงขึ้น พวงมาลัยหนักแน่นขึ้น ส่งผลให้การควบคุมรถในทางคดเคี้ยวทำได้อย่างมั่นใจ พร้อมแรงดันเครื่องยนต์และมอเตอร์ที่ตอบสนองได้ไวและเร้าใจ ขณะขับลงเขา รถจะใช้ระบบหน่วงอัตโนมัติ ช่วยชะลอความเร็วแบบธรรมชาติ ทำให้ไม่ต้องเบรกหนัก รถไม่พุ่ง ไม่มีแรงกดดันระหว่างการขับลง เสริมความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ได้ชัดเจน


โหมด Wet ตอบโจทย์ฝนตกจริง ขับสบายแม้ถนนลื่น

บางช่วงของทริปเจอฝนตกหนัก เราได้มีการปรับปลี่ยนโหมดมาใช้ Wet Mode ซึ่งระบบจะปรับ Traction Control และระบบช่วงล่างเพื่อการยึดเกาะบนถนนเปียก โหมดนี้ช่วยให้รถไม่เสียอาการ และที่โดดเด่นคือพวงมาลัยที่แม่นและเบาในระดับพอดี ขับแล้วมั่นใจมากยิ่งขึ้น



ต้องบอกว่าXForce HEV มาพร้อม โหมดการขับขี่ทั้งหมด 7 โหมด ซึ่งแบ่งเป็น 5 โหมดสำหรับปรับพฤติกรรมรถ และอีก 2 โหมดที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าโดยตรง ได้แก่:

1. Normal Mode – สมดุลทุกอย่าง เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
2. Tarmac Mode – เน้นสมรรถนะ คันเร่งไว ระบบ AYC ทำงานสูงสุด
3. Wet Mode – เสริมความปลอดภัยบนพื้นลื่น Traction Control และ AYC ทำงานเร็วขึ้น
4. Mud Mode – สำหรับเส้นทางโคลน
5. Gravel Mode – สำหรับพื้นกรวด ลูกรัง
6. EV Mode – ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% เงียบและปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
7. EV Charge Mode – เครื่องยนต์ทำงานเพื่อชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปในระบบ



เมื่อขับบนทางที่ออกแบบให้เหมือนเส้นทางธรรมชาติ พบว่าโหมดต่างๆ ทำงานได้ตรงตามที่โฆษณาไว้ โดยเฉพาะโหมด Mud Mode ที่แม้จะมีการดิ้นอยู่บ้างขณะผ่านพื้นโคลน แต่ตัวรถยังสามารถพาตัวเองเคลื่อนผ่านได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องลุ้นมากนัก

สมรรถนะช่วงล่าง-การควบคุม: เนียน ใช้ได้เลย

XForce HEV ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กค้ำโช้ค ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการควบคุม ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชันบีมที่จูนมาได้ลงตัวพอดีระหว่างความแน่นกับความนุ่ม รองรับแรงสะเทือนและยังให้ความมั่นใจในทางโค้ง



ระบบไฮบริด e:MOTION ทำงานเนียนกริบ แรงดี สมูดเหมือนรถไฟฟ้า

หัวใจของ All-New XForce HEV คือระบบ MITSUBISHI e:MOTION ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร DOHC 16 วาล์ว MIVEC ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และ ระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle แบบเดียวกับรถไฟฟ้า ทำให้รถตอบสนองได้ดีในทุกย่านความเร็ว


เมื่อออกตัว รถจะใช้พลังจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ให้ความเงียบและนุ่มแบบ EV เหมือนขับรถไฟฟ้า ส่วนเมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานเพื่อปั่นไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ โดยยังคงส่งกำลังหลักผ่านมอเตอร์ ทำให้การตอบสนองยังคงทันใจ และประหยัดน้ำมันไปในตัว



ที่สำคัญบนเส้นทางขึ้นเขา ระบบจะเปลี่ยนเป็นการขับขี่แบบ Hybrid-Parallel ใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ร่วมกันเพื่อสร้างพละกำลังเต็มที่ การขับผ่านเขานางหงษ์จึงไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย รู้สึกได้ว่ารถดึงแรงและมั่นใจ

จุดเด่นอีกอย่างคือระบบการจัดการพลังงานที่ฉลาด โดย ECU จะคำนวณการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ให้เหมาะสมกับสภาพถนนและความเร็ว เช่นตอนแซง เรากดคันเร่งเต็ม ระบบจะจัดพลังมอเตอร์กับเครื่องยนต์ให้พร้อมทันที ไม่มีอาการรอรอบหรือหน่วง


อัตราสิ้นเปลืองที่มิตซูบิชิเคลมไว้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 24.4 กม./ลิตร แต่สำหรับคันของผู้เขียนเฉลี่ยทั้ง 3 สื่อ สลับกันขับ  ทำได้ประมาณ 18 กม./ลิตร ต้องบอกว่าเท้าหนักทั้งคัน   ส่วนนักข่าวที่ทำดีที่สุดในทริป คือ 20 กม./ลิตร



ภายในเงียบ กว้าง สบาย ครอบครัวใช้งานได้เต็มที่

ห้องโดยสารของ XForce HEV ได้รับการออกแบบให้เงียบและสบาย เบาะหลังนั่งสบาย พื้นที่กว้างขวาง แอร์เย็นทั่วถึง พื้นที่วางแขนผู้โดยสารตอนหลัง ตอนดึงลงมา จะมีช่องทะลุไปยังห้องสัมภาระ ทำให้สามารถหยิบของจากท้ายรถได้ง่ายขณะนั่งอยู่ภายในรถ



ด้านหน้า หน้าจออินโฟเทนเมนต์แสดงสถานะการทำงานของระบบไฮบริดอย่างละเอียด ทั้งปริมาณแบตเตอรี่ การทำงานของมอเตอร์ การปั่นไฟ และโหมดที่กำลังใช้อยู่ ขับแล้วรู้สึกเหมือนรถไฟฟ้าจริงๆ แต่สบายใจกว่าตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง

ช่วงล่างเด่นมาก ขับแล้วรู้สึกหนึบ ไม่กระด้าง เข้าโค้งคม ไม่โยน ไม่โคลง การเก็บเสียงดีมาก เหมาะทั้งสำหรับขับในเมืองและออกทริปไกล ๆ



ดีไซน์ภายนอก: แกร่งแต่ดูแพง

ภายนอก XForce HEV ใช้ภาษาการออกแบบใหม่ “Silky & Solid” ผสมผสานความแข็งแกร่งกับความพลิ้วไหวลงตัว โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้าย Full-LED ทรง T-Shape ล้ออัลลอย 18 นิ้ว และกระจังหน้าสีเงินในรุ่น Ultimate ขึ้นไป พร้อมฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าและระบบ Kick Sensor ในรุ่น Ultimate X

เมื่อเทียบขนาดกับคู่แข่งในกลุ่ม B-SUV อย่าง Toyota Yaris Cross, Honda HR-V หรือ Nissan Kicks แล้ว XForce HEV มีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดในกลุ่ม นั่งเต็ม 5 คนได้แบบไม่เบียด



ดีไซน์ภายใน: กว้าง ฟังก์ชันครบ นั่งสบายทุกที่นั่ง

ภายในห้องโดยสารเด่นที่ เบาะหน้า นั่งสบาย มีทั้งแบบปรับมือ (รุ่น Ignite) และปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (รุ่น Ultimate และ Ultimate X) ฟองน้ำนุ่ม ขนาดรองรับลำตัวใหญ่ได้สบาย เบาะหลังปรับเอนได้ 8 ระดับ แบ่งพับแบบ 40:20:40 พร้อมพนักวางแขน ช่องแอร์หลัง และพอร์ตชาร์จ USB-A/USB-C มีให้ครบทุกคัน

พื้นห้องโดยสารแบบ Flat-Floor ช่วยให้คนนั่งกลางไม่ต้องนั่งกางขา ยิ่งเมื่อรวมกับความเงียบจากระบบไฮบริดและระบบเสียง YAMAHA 8 ลำโพง (ในรุ่น Ultimate X) ทำให้บรรยากาศในรถดูพรีเมียมกว่าคู่แข่งหลายราย



ราคาจำหน่าย

• XForce HEV Ignite : 899,000 บาท
• XForce HEV Ultimate : 1,039,000 บาท
• XForce HEV Ultimate X : 1,089,000 บาท






การรับประกัน

-XForce HEV มาพร้อมการรับประกันการรับประกันระบบไฮบริดเป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
-รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดนานสูงสุดถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
-รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นเวลา 1 ปี
-การรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
-ฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
-เลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี
-ลูกค้าครอบครัวมิตซูบิชิ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 30,000 บาท ผ่านแอฟพลิเคชัน M-Drive



สรุป

XForce HEV คือรถ SUV ไฮบริดที่เกิดมาเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ด้วยโหมดขับขี่ 7 รูปแบบ ที่ครอบคลุมทุกสภาพถนนในประเทศไทย ระบบไฮบริดใหม่ที่พัฒนาให้แรงสมูดเหมือน EV แต่ยังคงความอุ่นใจแบบรถใช้น้ำมัน การขับขี่มั่นใจ นั่งสบาย ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับทุกไลฟ์สไตล์


ถ้าคุณมองหารถครอบครัวที่ประหยัด ทรงพลัง ขับสนุก ปลอดภัย และพร้อมจะลุยในทุกเส้นทาง All-New Mitsubishi XForce HEV คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม



กำลังโหลดความคิดเห็น