xs
xsm
sm
md
lg

จีนเดินหน้าสู่อนาคตสีเขียว ดันรถไฟฟ้าหัวใจหลักแผนพัฒนาชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จีนประกาศแผนพัฒนาชาติฉบับใหม่โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นำโดยยานยนต์พลังไฟฟ้า (NEV) ซึ่งจะกลายเป็นกระแสหลักของตลาดรถยนต์ภายในปี 2035 เป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นประเทศปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2060

หลังจากที่เคยประกาศออกมาว่าจะกำหนดให้รถยนต์ใหม่ที่ขายในประเทศจีนเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า NEV เท่านั้นภายในปี 2035 ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเริ่มขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้ประกาศแผนพัฒนาชาติ (Nationally Determined Contributions) ฉบับปรับปรุงใหม่ของจีนเมื่อปลายเดือนเมษายน พร้อมกับระบุว่า รถยนต์พลังไฟฟ้าจะเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายในการตามแผนการนี้

จากข้อมูลของ European Commission’s Joint Research Centre ระบุว่าจีนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศโลกจำนวน 30% หรือเทียบเท่ากับตัวเลขก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 16 ล้านกิกะตัน โดยในปี 2060 จีนได้ประกาศแผนพัฒนาชาติออกมาในการตั้งเป้าที่จะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุดภายในปี 2030 เพื่อเป็นบันไดขั้นแรกในการนำไปสู่การเป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060


ในการประชุมสุดยอดของสหประชาชาติก่อนการประชุม COP30 ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีนยืนยันว่าแผนพัฒนาชาติที่ปรับปรุงใหม่ของจีนจะครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจและก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

“นับตั้งแต่ที่ผมประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และนำพาประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่อ 5 ปีก่อน จีนได้สร้างระบบพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก สร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังงานใหม่ที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดในโลก และมีส่วนสนับสนุนพื้นที่สีเขียวใหม่ของโลกถึงหนึ่งในสี่” ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกล่าว “ไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การดำเนินการที่กระตือรือร้นของจีนในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะไม่ชะลอตัวลง ความพยายามในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศจะไม่อ่อนลง และความพยายามในการส่งเสริมการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติจะไม่หยุดนิ่ง”

ด้วยเหตุนี้ทุกส่วนที่มีความเกี่ยวข้องจึงถูกนำมาพิจารณาและวางกรอบในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่ความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายตามแผน การมีส่วนร่วมของจีนในการลดต้นทุนของแผงโซลาร์เซลล์และเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอื่นๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยได้รับแรงผลักดันจากแผน 5 ปีของรัฐบาล โดยคาดว่าภายในปี 2060 แหล่งพลังงานหมุนเวียนจะครองส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าของจีนถึง 80%



การลงทุนของภาครัฐในการวิจัยและพัฒนาพลังงานคาร์บอนต่ำเพิ่มขึ้นถึง 70% ตั้งแต่ปี 2015 และจีนรับผิดชอบการจดสิทธิบัตรเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกถึง 10% เลยทีเดียว ดังนั้น การใช้ไฟฟ้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดการปล่อยมลพิษในภาคส่วนสำคัญ เช่น อุตสาหกรรม การขนส่ง และอาคาร เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรงและช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์จากพลังงานที่สะอาดขึ้น เนื่องจากภาคส่วนพลังงานมีการปล่อยคาร์บอนน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ถือว่าเป็นอีกส่วนที่จะช่วยให้จีนสามารถเดินหน้าตามแผนการที่วางเอาไว้

ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าของจีนถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีที่แล้ว มียอดขายในกลุ่ม NEV ซึ่งมีทั้งรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV และ PHEV หรือไฮบริดแบบเสียบปลั๊กเกือบ 11 ล้านคันเลยทีเดียว

เตรียมเดินหน้าสู่สังคมรถยนต์พลังไฟฟ้า

ส่วนหนึ่งตามแผนการนี้คือ การผลักดันให้ตลาดรถยนต์จีนเป็นศูนย์กลางของรถยนต์พลังไฟฟ้าทั้งในรูปแบบ BEV และ PHEV รวมถึง EREV ซึ่งจากการประกาศในปี 2021 จีนตั้งเป้าให้รถยนต์ใหม่ที่วางจำหน่ายในประเทศจะต้องรถยนต์แบบ New Energy ซึ่งก็คือ รถยนต์ทั้ง 3 ประเภทข้างต้น แน่นอนว่า PHEV และ EREV ยังมีเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ในระบบก็จริง แต่ด้วยการที่มีโหมดแล่นด้วยพลังไฟฟ้าใน PHEV และการทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในระบบ โดยการขับเคลื่อนจะเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์นั้น ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์เหล่านี้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก


ด้วยเหตุนี้จีนจะเพิ่มความพยายามในการปรับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งให้สอดคล้องกับระบบพลังงานหมุนเวียน โดยมุ่งหวังที่จะทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV) เป็น "กระแสหลักของยอดขายรถยนต์ใหม่" ภายในปี 2035 นอกจากนั้น ยังวางแผนที่จะนำรถบรรทุกขนาดใหญ่พลังงานใหม่ไปใช้ในวงกว้าง และจัดตั้งระบบจ่ายเชื้อเพลิงสีเขียวสำหรับภาคการขนส่งภายในปี 2035 ตามหนังสือเวียนที่ออกร่วมกันโดยกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานอื่นอีก 9 แห่ง

หนังสือเวียนดังกล่าวเน้นย้ำถึงความพยายามในการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้พลังงานสะอาดควบคู่ไปกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง เช่น ทางรถไฟ ถนน และท่าเรือเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวของภาคการขนส่ง จีนจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์พลังงานใหม่ เรือสีเขียวและคาร์บอนต่ำ เครื่องบินพลังงานใหม่ ตลอดจนการพัฒนาบริการไปรษณีย์และการจัดส่งแบบด่วนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงในตลาดจะเริ่มปี 2027

ตามแนวทางปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ หมายความว่าภายในปี 2027 เราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตลาดรถยนต์ของจีน โดยเฉพาะในเรื่องของทางเลือกที่อยู่ในตลาด ซึ่งจะเริ่มลดบทบาทของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียวลง


จากการเปิดเผยของ China Passenger Car Association (CPCA) ในปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ NEV ของจีนมีตัวเลขเกือบ 11 ล้านคัน หรือ 10,895,252 คัน เพิ่มขึ้นถึง 40.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในจำนวนนี้ ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 6,320,649 คัน เพิ่มขึ้น 22.82 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้ หรือคิดเป็น 58% ของยอดขายในตลาดรถยนต์แบบ NEV

ในงาน Auto Shanghai ที่ผ่านมา แบรนด์รถยนต์จีนเกือบทั้งหมด นำเสนอผลผลิตใหม่ออกสู่ตลาดในประเทศด้วยรถยนต์ที่อยู่ในกลุ่ม NEV ซึ่งนั่นก็รวมถึงรถยนต์ต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ซึ่งมีพันธมิตรในประเทศจีน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในเชิงผลิตภัณฑ์ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามแผนพัฒนาชาติ

ไม่ได้แค่ในประเทศ แต่ยังเตรียมเป็นจุดศูนย์กลางการผลิต

ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้ามีการขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในจีน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเริ่มลุกลามไปยังแถบอเมริกาใต้ ซึ่งจีนในฐานะที่เป็นตลาดใหญ่ พวกเขาวางแผนในการทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้า ไม่เฉพาะรองรับกับความต้องการในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งออกอีกด้วย


ตรงนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะบริษัทผลิตรถยนต์ของจีนหลายแห่ง ทั้งผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ ต่างก็มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ในภาคส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผู้ผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของจีนซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากรัฐบาล และได้พัฒนาห่วงโซ่การผลิตที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่ทศวรรษ 2000 โดยครอบคลุมตั้งแต่ภาคส่วนการทำเหมืองแร่ (ต้นน้ำ) ไปจนถึงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขั้นสุดท้าย (ปลายน้ำ)

ตอนนี้ BYD ซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดในจีน ได้พยายามรุกคืบออกสู่ตลาดต่างประเทศหลายต่อหลายแห่ง ทั้งการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าในกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ การเปิดโชว์รูมในโครเอเชียและเปรู รวมถึงยังเปิดแนวรุกในตลาดแอฟริกา ด้วยการเปิดโชว์รูมในเบนิน และเตรียมเปิดตัวโชว์รูมในอีก 16 ประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกา


นอกจากนั้น BYD ยังเพิ่งส่งออกรถยนต์พลังไฟฟ้าไปยังประเทศบราซิลจำนวน 7,000 คันอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความพยายามที่น่าสนใจ เพราะที่อเมริกาใต้ โดยเฉพาะบราซิล รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบ E100 มีความแข็งแกร่งอย่างมาก เพราะบราซิลเป็นประเทศที่ปลูกและส่งออกอ้อยเยอะ ซึ่งนำผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลมาพัฒนาต่อเป็นเชื้อเพลิงแบบ E100 เพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินในรถยนต์ทุกประเภท

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจับตามอง และด้วยข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในเทคโนโลยีรถยนต์พลังไฟฟ้า ทั้งองค์ความรู้ และการบริหารจัดการเรื่องต้นทุน สิ่งนี้จะทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้าจากจีนกลายเป็นตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้อหลังความสำเร็จของแผนพัฒนาชาติให้สำเร็จ


กำลังโหลดความคิดเห็น