xs
xsm
sm
md
lg

กำแพงภาษีจาก Trump อีกงานใหญ่ที่รออยู่ของ Honda และ Nissan

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถือว่ามาไวไปไว เพราะหลังจากที่ประกาศแผนความร่วมมือในการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนมูลค่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญวันคริสมาสต์ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์โลก แต่สุดท้ายแผนการรวมตัวกันของ Honda Nissan และ Mitsubishi ก็ต้องพับลงไปโดยปริยายภายใต้ข้อสงสัยมากมาย เพราะส่วนใหญ่แล้วคิดว่าการเดินหน้ามาถึงการประกาศความร่วมมือขนาดนี้ น่าจะต้องมีการศึกษาแนวทางกันมาเป็นอย่างดี และไม่น่าที่จะประกาศยุบโปรเจ็กต์หลังจากผ่านงานแถลงข่าวกันมาเพียงแค่เดือนเศษๆ เท่านั้น

การรวมกันของ Honda Nissan และ Mitsubishi จะทำให้พวกเขาขยับมาเป็นกลุ่มบริษัทยานยนต์ที่มียอดขายต่อปีอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกต่อจาก Toyota และ Volkswagen ซึ่งทุกอย่างทำท่าว่าจะไปได้ดี จนกระทั่งรายแรกคือ Mitsubishi ประกาศไม่ข้อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ และจากนั้นไม่นานก็มีถ้อยแถลงในการยุติการทำงานร่วมกันก็ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ปัจจัยหลักที่ไปด้วยกันไม่ได้

แม้ว่าในถ้อยแถลงของทั้ง 2 ฝ่ายขะไม่ได้มีการยืนยันหรือระบุถึงสาเหตุที่ชัดเจนในการยุติโปรเจ็กต์ความร่วมมือ แต่โดยลึกๆ แล้ว นักวิเคราะห์เชื่อว่ามีอยู่ 4 ส่วนใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย นั่นคือ

-ความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรในบริษัทร่วมทีม : ต้องบอกว่าการร่วมทุนครั้งนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่ไม่มีความเท่าเทียม Honda ซึ่งมีมูลค่าตลาดเกือบ 5 เท่าของ Nissan โดยมีกำหนดขอบเขตของ Nissan ให้เป็นแค่ตัวรองในโครงสร้างใหม่ ซึ่ง Nissan คัดค้านอย่างหนัก และยืนกรานที่จะเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันแม้ว่าจะมีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่า



-แนวทางที่แตกต่างกันในการปรับโครงสร้าง : หลังจากการประกาศการร่วมทีม Honda ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรต่อความตื่นตัวในการแก้ปัญหาภายในของ Nissan เพื่อรองรับกับการร่วมทุนกันทำงาน และมองว่า การประกาศของนิสสันที่จะเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 9,000 คนและลดกำลังการผลิตลง 20% ในเดือนพฤศจิกายน 2024 นั้นไม่เพียงพอ Nissan จะต้องมีแอคชั่นมากกว่านั้น

-ปัญหาในเรื่องการตัดสินใจของผู้บริหาร : ด้วยความต่างในเชิงวัฒนธรรมองค์กร และรูปแบบหลายอย่างทำให้ Nissan มีกระบวนการตัดสินใจและดำเนินแผนงานที่ค่อนข้างช้า และ Honda มองว่าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นอุปสรรคที่น่ากังวลหากมีการทำงานร่วมกัน

-การลงมือแก้ปัญหา และสภาพที่จมไม่ลง : แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการเจรจาดังกล่าวระบุว่า Nissan ไม่เต็มใจที่จะลดรายจ่ายจำนวนมากและปิดโรงงานที่อ่อนไหวต่อการเมือง แม้ว่าตำแหน่งของบริษัทจะอ่อนแอลงก็ตาม อีกทั้งยังมีการระบุถึงสิ่งที่ Nissan มักไม่ค่อยระบุถึงความสำคัญอย่างเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนั้น ในแถลงการณ์ร่วม บริษัททั้งสองแห่งได้ยืนยันข้อเสนอของ Honda ที่จะเปลี่ยนการควบรวมกิจการเป็นโครงสร้างบริษัทแม่-บริษัทลูก โดย Honda จะเข้าควบคุมผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วนำไปสู่การยุติการเจรจา



ต้องเดินต่อไปเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

แม้ว่าทั้งคู่จะไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวในฐานะบริษัทร่วมทุนได้ แต่ในแง่ของโปรเจ็กต์ที่เคยเซ็นสัญญาร่วมกันมาก่อนหน้านี้ ถือว่าไมได้รับผลกระทบอะไร และจะยังคงร่วมมือกันต่อไปในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ซอฟต์แวร์ และระบบขับขี่อัตโนมัติ ร่วมกับ Mitsubishi Motors ซึ่งเป็นพันธมิตรรายย่อยของ Nissan ซึ่งเป็นสัญญาที่พวกเขาเซ็นร่วมกันมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2024


อย่งไรก็ตาม ยังมีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า แล้วทั้งคู่จะไปในทิศทางไหนต่อ เพราะด้วยเป้าหมายของการร่วมมือกัน เหตุผลหนึ่งคือ การผนึกกำลังเพื่อสร้างความได้เปรียบทั้งเรื่ององค์ความรู้ในการพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้า และการใช้ปริมาณการผลิตเพื่อลดต้นทุนในการพัฒนา

ทางด้าน Nissan หลังจากที่มีข่าวว่าจะไม่ร่วมกับ Honda นั้น ทำให้ทาง Foxconn ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวันกลายเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ โดย Young Liu ประธานบริษัทแสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับ Nissan เพียงแต่ทั้งหมดยังเป็นแค่ข่าวที่จะต้องรอการยืนยันอีกครั้ง

อย่างไรก็ในมุมมองของนักวิเคราะห์นั้น ถือว่าการแยกทางกันถือว่า Honda ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เพราะเมื่อมองในแง่ภาพรวมของบริษัทแล้ว สถานการณ์ของแบรนด์นี้ยังดีกว่าของ Nissan อย่างชัดเจน โดย Christopher Richte นักวิเคราะห์รถยนต์ญี่ปุ่นจาก CLSA บริษัทนายหน้าซื้อขายรถยนต์ กล่าวว่า "Honda ค่อนข้างมั่นใจและได้เปรียบมาก ในขณะที่ Nissan อยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ พวกเขาไม่มีพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยกันทำงานในตอนนี้ และอาจต้องคิดหาทางทำอะไรที่แตกต่างออกไป"



แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การรวมตัวกันของ Honda และ Nissan น่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากสักเท่าไร ถ้าหากการรวมตัวกันคือ การสะกัดกั้นการสูญเสียยอดขายรถยนต์จากการรุกรานของ BYD และ Tesla เพราะ ณ ตอนนี้ทั้งคู่มีปัญหาใหญ่รออยู่

ตลาดสหรัฐอเมริการะเบิดเวลาลูกใหม่ของ Honda และ Nissan

จากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และความนิยมของชาวอเมริกันที่มีต่อรถยนต์พลังไฟฟ้ายังไม่ได้มากมาย ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงถือเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับ Honda และ Nissan แต่การเข้ามาของ Donald Trump ประธานาธิบดีคนใหม่ พร้อมกับนโยบายในการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าที่มาจากทั้งจีน แคนาดา และเม็กซิโก กำลังจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่อย่างเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับ Honda และ Nissan

Trump ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติม 25% ในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไป 30 วัน แนวโน้มการขึ้นภาษีนี้ถือว่าสร้างผลกระทบอย่างมากกับ Honda และ Nissan เนื่องจากสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้ง 2 บริษัท



ในปีที่แล้ว Honda ขายรถยนต์ได้ประมาณ 1.4 ล้านคันในสหรัฐอเมริกา และ Nissan มียอดขายราวๆ 1 ล้านคัน ซึ่งในจำนวนนั้น Honda ผลิตรถยนต์จากโรงงานในสหรัฐอเมริกา 1 ล้านคัน และแน่นอนว่าไม่ได้รับผลกระทบ แต่อีก 400,000 คันนั้นมาจากโรงงานที่ผลิตในแคนาดา ขณะที่ของ Nissan ครึ่งหนึ่งของยอดขายเป็นการนำเข้ามาจากเม็กซิโก

ดังนั้น หากมีการเก็บภาษี ทั้ง 2 บริษัทมีทางเลือกน้อยมากในการจัดการ เพราะการสร้างโรงงานใหม่อาจใช้เวลานานถึง 3 ปี ในขณะที่การปรับปรุงสายการผลิตที่มีอยู่สำหรับรุ่นอื่นอาจต้องใช้เวลาทำงานนานถึง 18 เดือน ภาษีศุลกากร 25% ตามการวิเคราะห์ของ CLSA อาจจะทำให้ราคาเฉลี่ยรถยนต์ของ Honda เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบ และประมาณ 3% สำหรับ Nissan และเชื่อว่าภาระทั้งหมดในแง่ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค

ทั้ง Honda และ Nissan ต่างสูญเสียยอดจำหน่ายในตลาดหลายแห่ง โดยเฉพาะในจีนซึ่งยอดขายลดลงอย่างมาก และในสหรัฐอเมริกาเอง แม้ว่าจะยังไม่มีวี่แววว่าจะโดนรุกรานก็จริง แต่กับการตั้งกำแพงภาษีในครั้งนี้ อาจจะทำให้โอกาสในการแข่งขันของทั้ง 2 แบรนด์ลดลง และจะต้องรีบมองหาแผนการขึ้นมารองรับกับเรื่องนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น