xs
xsm
sm
md
lg

BYD ขยับตัวแรง ขึ้น Top 3 ยอดขายรถโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มีการสรุปยอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนช่วงปี 2024 ออกมาแล้ว ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรที่ BYD จะขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของตลาดแห่งนี้ เพราะตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในตลาดจีนต่างเอื้อต่อการขยายตัวและเติบโตไม่เฉพาะกับ BYD เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแบรนด์อื่นๆ ที่มีผลผลิตในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่หรือ NEV-New Energy Vehicle อีกด้วย

แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ BYD คือ การขยายตลาดออกสู่นอกประเทศจีนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่า แบรนด์นี้ทยอยเปิดตัวผู้แทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศที่เป็นตลาดรถยนต์แห่งใหม่ที่ยังไม่ได้มีการผูกขาดด้วยรถยนต์พลังไฟฟ้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง และถึงแม้ว่าสถานการณ์ระหว่างผลผลิตจีนกับกำแพงภาษีที่จะต้องเจอในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปยังมีเครื่องหมายคำถามในเรื่องของการหาทางออกที่ลงตัวและเหมาะสม แต่สิ่งที่ถูกจับตามองมาตลอดคือ BYD จะไปได้ไกลขนาดไหนในฐานะผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่ ที่สามารถเขย่าตลาดรถยนต์ทั่วโลก


ครองตลาดจีนแบบสมบูรณ์แบบ

จากตัวเลขที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนนี้แสดงให้เห็นว่าในปี 2024 ทั้งปี ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของ BYD Group อยู่ที่ 4,272,145 คัน เพิ่มขึ้น 41.26% เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว และถ้ามองเฉพาะแบรนด์ BYD เพียงอย่างเดียวแล้ว พวกเขามียอดขาย 3,718,281 ล้านคัน และครอง 34.1% ในสัดส่วนของตลาด NEV ในจีน (ซึ่งรวมทั้งรถยนต์พลังไฟฟ้า- รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก-PHEV และไฮบริด-HEV) ซึ่งถือว่าเป็นเบอร์ 1 แบบเบ็ดเสร็จ เพราะอันดับที่ 2 อย่าง Geely มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 7.9% เท่านั้นด้วยยอดขาย 862,933 คัน

สำหรับเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการเปิดเผยว่า BYD ยังคงเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถยนต์จีนเมื่อมองจากยอดขาย เพราะตัวเลขยอดขายของ BYD ในตลาด NEV ก็ยังพุ่งอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลข 300,538 คัน มากกว่าอันดับ 2 อย่าง Geely ถึงกว่า 175,00 คัน ซึ่งแม้ว่าจะลดลงจากยอดขายเดือนธันวาคม 2024 ประมาณ 42% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม 2024 แล้วถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 49% เลยทีเดียว

และจากการเปิดเผยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีนเป็นตลาดใหญ่ไม่เฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมถึงไฮบริดหลากหลายรูปแบบที่ถูกเรียกรวมว่า NEV โดยจนถึงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนรวมแล้วกว่า 31.4 ล้านคัน แต่ก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของยอดถือครองในรถยนต์ทุกคันของจีน ซึ่งตัวเลขของ NEV มีเพียง 8.9% เท่านั้นจากจำนวน 353 ล้านคันในจีน

สิ่งที่น่าสนใจซึ่งซ่อนอยู่ในตัวเลขเหล่านี้คือ ความแข็งแกร่งของรถยนต์พลังไฟฟ้าหรือ BEV ในตลาดจีน เพราะเมื่อแตกออกมาแล้ว จาก 31.4 ล้านคันของกลุ่ม NEV จะเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าถึง 22.09 ล้านคัน หรือ 70.3% ส่วนที่เหลือคือ รถยนต์ PHEV และ HEV



2025 ยังเป็นปีที่ดีสำหรับ BYD

Deutsche Bank คาดว่า BYD Group จะขายรถยนต์ได้ 5.52 ล้านคันในปี 2025 เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดย BYD จะแบรนด์รถยนต์หลักที่ถูกเจาะตลาดทั่วโลกในฐานะ Mass Product ที่มีความสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลายในรถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV

Wang Bin หนึ่งในทีมนักวิเคราะห์ กล่าวในบันทึกการวิจัยว่า พวกเขาคาดว่าเฉพาะแค่แบรนด์ BYD ถือเป็นแบรนด์ที่ครองสัดส่วนหลักของตลาด โดยจะขายได้ 5.1 ล้านคันในปี 2025 เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนแบรนด์ Denza จะอยู่ที่ 250,000 คันในปี 2025 เพิ่มขึ้น100 % เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2024 ส่วนยอดขายแบรนด์ Fang Cheng Bao จะอยู่ที่ 160,000 คัน เพิ่ม 184 % และยอดขายแบรนด์ Yangwang จะอยู่ที่ 7,500 คัน ถือว่าคงที่และไม่มีตัวเลขเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2025 จะอยู่ที่ 800,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับปี 2024

ปัจจัยที่เกื้อหนุนการเติบโตในด้านยอดขายของ BYD คือ การเปิดตัวผลผลิตใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการประเมินว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในจีนกำลังเดินทางไปสู่จุดที่อิ่มตัวก็ตาม โดยเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา แบรนด์ย่อยอย่าง BYD Dynasty เปิดตัวรุ่น Xia ซึ่งเป็น MPV ปลั๊กอินไฮบริดขนาดใหญ่พิเศษด้วยราคา 250,000-310,000 หยวน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้

นอกจากนั้น ยังมีการประเมินว่า อีกส่วนหนึ่งของความสำเร็จ คือ การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าชาวจีนด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในแง่ของดีไซน์ และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย และล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ทาง BYD เองก็เตรียมเปิดตัว God’s Eye ซึ่งเป็นระบบการขับขี่อัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ที่สำคัญ คือ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในรถยนต์ที่สามารถเข้าถึงได้

God’s Eye จะเป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบใหม่ล่าสุดของ BYD นั่นคือ Xuanji Architecture ซึ่ง BYD ได้ลงทุนไปมากกว่า 13.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ



เจาะออกตลาดต่างแดน อีกกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง

BYD ใช้รูปแบบการเติบโตที่ไม่ได้แตกต่างจากบริษัทรถยนต์ทั่วไปสักเท่าไร เพราะเมื่อประสบความสำเร็จในบ้านตัวเองแล้ว หนทางของการเพิ่มยอดคือ การสยายปีกออกนอกประเทศ โดยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา BYD เดินเกมรุกทั้งในตลาดเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ไทย และภูมิภาคอาเซียน โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัว Atto 3 ก่อนที่จะมี Sealion 7 เปิดตัวตามมาในเดือนพฤษภาคม ซึ่งก่อนหน้านั้น BYD เคยเข้ามาในเกาหลีใต้แล้วในปี 2016 แต่ทำตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และโฟล์คลิฟต์

ในตลาดโลก BYD เดินหน้าลุยยุโรป ซึ่งมีการปรากฏตัวตามงานมอเตอร์โชว์หลายรายการ เช่นเดียวกับดีลเลอร์ซึ่งกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ในส่วนของยุโรปตะวันตกไล่ตั้งแต่โปรตุเกสไปจนถึงนอรเวย์ ขณะที่ฝั่งอเมริกา BYD เดินหน้ามาถึงแค่เม็กซิโก และยังไม่ได้เข้า ซึ่งแม้ว่านักวิเคราะห์เชื่อว่า ‘นี่คือจังหวะนรก’ ของสินค้าจากจีน เพราะการชูนโยบายที่ต้องการปกป้องการรุกรานของสินค้าจากต่างแดนด้วยการตั้งภาษีนำเข้าหลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ขึ้นสู่ตำแหน่ง แต่สุดท้ายเชื่อว่าทุกอย่างจะสามารถจบลงด้วยดีและมีจุดตรงกลางที่เหมาะสม

‘BYD จำเป็นต้องเปิดตลาดออกนอกประเทศจีน ซึ่งมีแนวโน้มที่กำลังเริ่มอิ่มตัวในด้านยอดขาย พวกเขามองกันเอาไว้แล้วแน่นอน เพียงแต่จังหวะที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่คิด อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับสหรัฐอเมริกาแล้ว ยุโรปถือเป็นฐานที่มั่นหลักนอกจีน ซึ่ง BYD สามารถที่จะยึดหัวหาดได้ไม่ยาก แม้ว่าจะมีเรื่องของกำแพงภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่กลางปี 2024 ก็ตาม’ นักวิเคราะห์ของเว็บไซต์ Electrek กล่าว

ในญี่ปุ่น มีการเปิดเผยว่าเป็นครั้งแรกใน BYD มียอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV แซงหน้า Toyota โดยพวกเขามียอดขายในปี 2024 อยู่ที่ 2,223 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 54% ขณะที่ Toyota อยู่ที่ 2,038 คัน ขณะที่ภาพรวมของตลาด BEV ในญี่ปุ่นนั้น มีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ 60,000 คันในปี 2024 และ Nissan LEAF ก็ยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างเหนียวแน่น คือ 50% กับยอดขาย 30,749 คัน



นอกจากนั้น ในสิงคโปร์มีการรายงานว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ของ BYD สามารถแซงหน้า Toyota และขยับขึ้นเป็นแบรนด์ที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดในสิงคโปร์ ด้วยตัวเลข 6,191 คัน ขณะที่ Toyota ขายได้ 5,736 คัน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ความทะเยอทะยานของ BYD ว่าจะมีแค่ไหน แต่เท่าที่ดูนับจากที่เริ่มทำตลาดทั่วโลกมาตั้งแต่เข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 2020 เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างชัดเจน และในปี 2023 BYD มียอดขายรถยนต์ทั่วโลกอยู่ในอันดับที่ 10 ด้วยตัวเลข 2.68 ล้านคัน แต่ในปีนี้ BYD ติดอยู่ใน Top Three เป็นรองแค่ Toyota และ Volkswagen และมีส่วนแบ่งในตลาด 4.5%

อันดับก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่บรรดาแบรนด์เก่าแก่ทั้งหลายต้องกังวลคือ อัตราการเติบโต เพราะ BYD คือ แบรนด์เดียวใน Top 5 ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเป็นแบรนด์เดียวใน Top 10 ที่อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วในแบบ 2 หลัก นั่นคือ 41.6%

งานนี้ Toyota กับ Volkswagen ได้มีหนาวๆ ร้อนๆ กันบ้าง





กำลังโหลดความคิดเห็น