“จูนเหยา” แบรนด์รถไฟฟ้าจีนน้องใหม่ ที่มาเปิดตัวในบ้านเราครั้งแรกงาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับรุ่น “JY AIR ” และล่าสุดได้เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะของรถรุ่นใหม่ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย
ก่อนที่จะไปรายงานผลการทดลองขับ เรามาทำความรู้จักกับแบรนด์ จูนเหยา กันก่อน การมารุกตลาดไทยของแบรนด์ จูนเหยา ได้ตั้ง บริษัท จูนเหยา ออโต (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกับบริษัท จูนเหยา กรุ๊ป (June Yao Group) บริษัทแม่ของสายการบินจูนเหยา แอร์ไลน์ (June Yao Airlines) หนึ่งในสายการบินเอกชนของประเทศจีน
สำหรับธุรกิจรถยนต์เริ่มต้นจากการเข้าไปซื้อกิจการยูโด (Yudo) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าในจีน ที่มีฐานการผลิตขนาด 100,000 คันต่อปี ที่ฝูเจี้ยนหลังจากนั้นก็เริ่มลุยงานจนมีรถรุ่นแรกคือ JY AIR ออกมาสู่ตลาดโดยไทยเป็นประเทศแรกที่จูนเหยาเปิดตัว
JY AIR ที่จำหน่ายในไทย มี 2 รุ่นให้เลือก คือ JY AIR รุ่น Standard ที่มากับขนาดความจุแบตเตอรี่ 51 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า (150 kW) และ JY AIR รุ่น Plus ที่มากับความจุแบตเตอรี่ 64 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า (160 kW)
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 170 กม.ต่อชม. โดยใน JY AIR รุ่น Standard มีระยะทางวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 430 กม. ขณะที่ JY AIR รุ่น Plus มีระยะทางวิ่งสูงสุด 520 กม.
ทางด้านการชาร์จไฟของ JY AIR รุ่น Standard ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 70 กิโลวัตต์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการชาร์จไฟจาก 30 % ถึง 80 % ส่วน JY AIR รุ่น Plus การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 90 กิโลวัตต์ และใช้เวลาประมาณ 21 นาที เท่านั้น สำหรับการชาร์จไฟจาก 30 % ถึง 80 %
ผู้บริหารบอกว่า แนวทางการออกแบบ JY AIR ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน ตามหลักแนวคิด “ONE BOX” เพื่อตอบโจทย์เรื่องความกว้างขวาง สะดวกสบาย ผสมผสานกับงานดีไซน์ภายใต้หลักแอร์โรไดนามิกส์ เทคโนโลยีอากาศยาน เช่น ช่องดักอากาศบริเวณกันชนหน้า และมุมกันชนหน้าที่ลงตัวกับสปอยเลอร์ฝาช่วยให้ JY AIR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.23 cd เท่านั้น รูปทรงไฟหน้าเหมือนกับปีกเครื่องบิน ขณะที่การออกแบบภายในมาจากเบาะนั่งชั้นหรูบนเครื่องบิน เบาะหน้าปรับเอนนอนได้ เบาะหลังพับได้แบบราบเรียบ ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถคันนี้เลย
หลังคากระจก กลาสรูฟ ให้ความโปร่งโล่ง ไม่ร้อนในช่วงทดลองขับ แต่ไม่แน่ว่าถ้าฤดูร้อนมาถึงกระจกกลาสรูฟจะเอาอยู่ไหม
เมื่อเข้ามานั่งภายในรถก็ต้องบอกว่า หรูหรา จอมาตรวัดความเร็วมาในขนาด 8.8 นิ้ว แบบ LCD จอสัมผัสขนาดใหญ่ ขนาด 15.6 นิ้ว โดยในรุ่น Plus สามารถหมุนจอได้ หากเราต้องการใช้งานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ทั้งปรับกระจกมองข้าง หาปุ่ม Auto Hold และปรับเครื่องปรับอากาศต้องไปที่จอเท่านั้น สำหรับผู้เขียนโดยส่วนตัวไม่ชอบ แม้จะพยายามเรียนรู้แล้วแต่ก็ยังไม่ถูกจริต เพราะฟังก์ชั่นบางอย่างควรจะแยกออกมาเช่นการปรับกระจกมองข้าง หรือการเลือกโหมดการขับขี่ ขับไปปรับไปมันไม่ค่อยจะปลอดภัย
ขณะเดียวกันหน้าจอกลางบังช่องแอร์ที่อยู่ด้านหลังของหน้าจอ ทำให้ปรับองศาของช่องแอร์ได้ยาก และเบาะหลังรู้สึกนั่งไม่สบาย เพราะหลังคารถลาดลงมาก ทำให้พื้นที่ศรีษะเหลือน้อย บวกกับเบาะมันชันไม่สามารถปรับเอนได้ทำให้นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดพอสมควร แถมไม่มีที่พักแขนด้วย แต่เบาะหนังคู่หน้านั่งสบาย โอบกระชับ ทำให้การขับขี่ ไม่เมื่อยล้า ขอติอีกนิดหนึ่งช่วงระหว่างขับ เสียงเข้ามาในรถค่อนข้างดังกว่ารถรุ่นอื่น ไม่รู้เป็นเพราะยางหรือเปล่า คันที่เราขับ ล้อ 19 นิ้ว
ส่วนเรื่องการขับ ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ขับง่าย อัตราเร่งไม่ได้แรงมากเกินไป การออกตัวปรับตั้งให้น้ำหนักของคันเร่งเวลาออกตัวมีหน่วงเล็กน้อย ทำให้ปลอดภัยมากกว่าการออกตัวแบบทันที อัตราเร่งแซงถือว่านุ่มนวลและต่อเนื่อง ถึงจะไม่ได้เร็วแบบพุ่งทะยาน หากต้องการเร่งแซงกระทันหันก็ทันใจ มีความกระฉับกระเฉงแซงได้ทันท่วงที พวงมาลัยไฟฟ้าให้วงเลี้ยวแคบคล่องตัว น้ำหนักพวงมาลัยดีไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป
มาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 โหมดที่เลือกได้ตามใจชอบ ทั้ง ECO ,NORMAL ,SPORT ,CUSTOMIZE และ ONE-PEDAL ก่อนขับแบตเตอรี่ประมาณ 90 % ขาไปแบตหมดไป 34 % เมื่อถึงร้านอาหาร ขากลับชาร์เพิ่มมาเป็น 64 % ถึงที่หมาย เหลือแค่ 41 % แต่คันเราขับความเร็วไม่สูงเลยทำให้แบตเหลือเยอะ ระยะทางไปกลับ 300 กิโลเมตร
ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน ด้านหลัง 5 ลิงค์ ก็จัดการได้ค่อนข้างดีแม้จะใช้ความเร็วสูง การคุมรถทางตรง ทางโค้ง ทำได้ดีพอสมควร แต่เวลาเจอพื้นผิวขรุขระด้านหลังเด้งไปนิด
JY AIR ยังเสริมด้วยความล้ำสมัยของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Advanced Driving Assistant System Level 2+ ด้วยฟีเจอร์ช่วยเหลือขั้นสูงที่ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมั่นใจในการเดินทาง เช่น ควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ช่วยในการรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า ,ระบบช่วยจอด ,ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบควบคุมการเปลี่ยนเลน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดขณะขับขี่ รถรุ่นนี้ยังได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยระดับสูงตามมาตรฐาน NCAP และ E-NCAP ระดับ 5 ดาว ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมั่นใจได้ในทุกการเดินทาง
โดย “JY AIR” มากับสีตัวรถให้เลือก 4 สี ประกอบด้วย สีขาว Moon White, สีฟ้า Meteorite Blue, สีเขียว Aurora Green,และ สีดำ Galactic Black
พร้อมราคาเริ่มต้นสำหรับ JY AIR รุ่น Standard 759,000 บาท (ราคาปกติ 899,000 บาท) และ JY AIR รุ่น Plus ราคา 869,000 บาท (ราคาปกติ 1,018,000 บาท )
แถมการรับประกันที่ยาวมาก 8 ปี ทั้งการรับประกันคุณภาพตัวรถ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รับประกันมอเตอร์ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 150,000 บาท กิโลเมตร ยังแถมตั๋วเครื่องบิน 4 ที่นั่ง ไม่จำกัดเส้นทางนาน 3 ปี พร้อมสมาชิกระดับ GOLD 3 ปี เริ่มส่งมอบรถ มกราคม ปีหน้า