แบตเตอรี่คือ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ในรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ที่คนทั่วโลกต่างกังวลที่สุด เพราะถือเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาแพง และมีการเสื่อมเรื่อยๆ เมื่อใช้งานอย่างต่อเนื่องนานหลายปี และที่สำคัญคือ เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ นั่นหมายถึงเงินก้อนโตที่จะต้องถูกจ่ายออกไป
อย่างไรก็ตาม มีการงานวิจัยบางส่วนระบุว่า ความคิดและความกังวลที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่มาจากสภาพที่เรียกว่าความวิตกกับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และอาจจะยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่า รถยนต์พลังไฟฟ้าเพิ่งเข้ามามีบทบาทในโลกมนุษย์ไม่นาน และนี่คือ ช่วงเริ่มต้นของโลก EV
ดังนั้น ต้นทุนของแบตเตอรี่ยังสูง แต่ก็ทดแทนด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ของผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 8-10 ปีหรือครอบคลุมระยะทาง 150,000-200,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเรื่องอีกไกลเกินที่จะกังวล เรียกว่าบางคนอาจจะเปลี่ยนรถยนต์ก่อนหมดการรับประกันก็ได้ หรือเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนจริง ระยะเวลาที่ผ่านไป อาจจะทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ลดลงจนสามารถจับต้องได้ จากรายงานของ Recurrent บริษัทเก็บข้อมูลและการวิจัยภายใต้หัวข้อเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของรถยนต์พลังไฟฟ้าระบุว่า แบตเตอรี่แรงดันสูงคือหัวใจสำคัญของรถยนต์พลังไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับอายุของแบตเตอรี่ใน BEV ในระยะยาวและต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยเฉพาะกับเมื่อรถยนต์คันนั้นถูกขายต่อเป็นรถยนต์มือสองหรือมือสาม อาจทำให้ผู้ซื้อจำนวนมากไม่กล้าหันมาใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า แต่ก็มีการระบุว่ากำลังเกิดการปฏิวัติแบบเงียบๆ กำลังเกิดขึ้นในโลกของการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเน้นที่การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานในแบตเตอรี่และปรับปรุงความทนทาน ซึ่งทั้งหมดนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของแบตเตอรี่ที่อาจจะถูกลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแบตเตอรี่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยทั่วไปแล้วผู้ผลิตรถยนต์จะรับประกัน 8 ปีหรือ 100,000 ไมล์ต่อสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้า 1 คัน แบตเตอรี่สมัยใหม่ส่วนใหญ่สามารถใช้งานได้นานขึ้นเป็นสองเท่าและวิ่งได้ไกลขึ้นเป็นสองเท่า ตามข้อมูลของ Recurrent
ในสหรัฐอเมริกามีการระบุว่า เจ้าของ Tesla มักรายงานว่าขับรถ EV ของตนเกิน 200,000 ไมล์ (321,800 กิโลเมตร) โดยเสื่อมสภาพเพียงเล็กน้อย มีรถ Model S ที่วิ่งไปแล้ว 1.2 ล้านไมล์ (1,93 ล้านกิโลเมตร) ที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ถึง 4 ครั้ง ดังนั้น จึงทำให้ระยะทางเฉลี่ยในการเปลี่ยนแบตเตอรี่อยู่ที่ 300,000 ไมล์ (482,700 กิโลเมตร) แต่คนขับรถยนต์พลังไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงจุดนี้ในแง่ของการใช้งาน แต่จากข้อมูลที่ได้ก็สร้างความมั่นใจให้ไม่มากก็น้อยในแง่ของความทนทาน
แต่เมื่อวนกลับมาที่เรื่องของตัวเลขค่าใช้จ่ายล่ะ ? ถือว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องมีการเปรียบเทียบ Cost of Ownership หรือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างการเป็นเจ้าของ ซึ่งในงานวิจัยของ Recurrent มีการระบุตัวเลขที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน
จากการอ้างอิงข้อมูลของบริษัท RMI แล้ว ทาง Recurrent คาดว่าราคาเซลล์ของแบตเตอรี่ในรถยนต์พลังไฟฟ้าน่าจะอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งถือว่าลดลงจากตัวเลข 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงซึ่งเป็นค่าอ้างอิงในช่วงทศวรรษ 2020
ดังนั้น สิ่งนี้จะส่งผลให้ต้นทุนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมงอยู่ที่ 4,500–5,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,375 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับแบตเตอรี่ขนาด 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง และถ้าอ้างอิงตัวเลขนี้แล้ว ส่วนในปัจจุบัน การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายระหว่าง 5,000-16,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ ยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์
นั่นหมายความว่าต้นทุนในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ 1 ชุดในรถยนต์พลังไฟฟ้าขนาดกลางแทบไม่ได้ต่างจากที่รถยนต์ไซส์ใกล้เคียวกันต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE แบบ 4 สูบ ซึ่งตอนนี้มีการประเมินว่าอยู่ที่ 4,000 เหรียญสหรัฐฯ หรืออาจจะสูงถึง 10,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับเครื่องยนต์สเป็กสูง
นอกจากนั้น Recurrent ยังระบุเพิ่มเติมว่า เจ้าของรถยนต์พลังไฟฟ้าคันนั้นอาจได้รับเงินสามารถชดเชยกลับจากการเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยการขายแบตเตอรี่เก่าของตัวเองออกไป และร้านซ่อมมักจะเก็บแบตเตอรี่มือสองซ่อมหรือขายให้กับบริษัทอื่นเพื่อนำไปใช้งานใหม่เพื่อกักเก็บพลังงาน เป็นแหล่งพลังงานสำรอง หรือใช้งานอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดว่าตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้ามือสองจะเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต และRecurrent คาดการณ์ว่าสิ่งนี้จะช่วยชดเชยราคาแบตเตอรี่ใหม่ได้อีก 10-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาด เคมี และสภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งจะต่างจากเครื่องยนต์ ICE ที่แทบจะขายทิ้งและไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ทั้งหมด นอกจากการนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล
ราคาของลิเธียมซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดย Goldman Sachs รายงานว่าเดือนตุลาคมว่า ราคาลิเธียมกำลังจะร่วงลงจาก 149 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2023 เหลือเพียง 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2026 ซึ่งการลดลง 50% นี้จะช่วยให้รถยนต์พลังไฟฟ้ามีราคาที่ลดลงจนสามารถแข่งขันกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในได้ในสหรัฐอเมริกาภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับ "เงินอุดหนุน" หรือ Tax Credit เหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ทางสำนักวิจัย Ayvens ยังระบุว่าอีกว่า ส่วนต่างในด้านค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้งานรถยนต์พลังไฟฟ้ากับรถยนต์สันดาปภายในในสหรัฐอเมริกาแทบไม่แตกต่างกันมาก เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนในเรื่องการใช้งานของรถยนต์สันดาปภายในสูงมาก คือ ค่าน้ำมัน ขณะที่รถยนต์พลังไฟฟ้าต้องเผชิญกับค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเนื่องจากราคาซื้อที่สูงกว่า แต่ก็มีความได้เปรียบในด้านอื่นๆ
ขณะที่ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์พลังไฟฟ้า ราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV ซึ่งก็รวมถึงไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือ PHEV และรถยนต์พลังไฟฟ้านั้น บางรุ่นมีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์ไซส์ใกล้เคียงกันที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแล้ว โดยมีการระบุว่าจำนวนรถยนต์ 2 ใน 3 ของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาดจีนช่วงปี 2024 มีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแล้ว และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2025
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยที่น่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องราคาของรถยนต์พลังไฟฟ้าจะลดลงมาจริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแนวทางและการบริหารจัดการของแต่ละแบรนด์ ซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องปรับราคาลงเพื่อสะท้อนถึงต้นทุนที่ถูกลงก็ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของบริษัทรถยนต์ระดับหรูหรา
อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในเรื่องอนาคตของรถยนต์พลังไฟฟ้า โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา ก็คือ แนวทางและนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่บริหารงานโดย Donald Trump ซึ่งเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายกำลังกังวลอย่างมาก และแม้ว่าจะเป็นนโยบายของสหรัฐอเมริกาก็จริง แต่ก็อาจจะส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังไฟฟ้าทั่วโลกได้เช่นกัน
เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไปว่า ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี้รถยนต์พลังไฟฟ้าจะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้หรือไม่ รวมถึงการที่เราจะได้เห็นเทคโนโลยีกักเก็บกระแสไฟฟ้าที่มีความทันสมัยออกมาหรือไม่ ซึ่งถ้ามีขึ้นจริง โอกาสที่รถยนต์พลังไฟฟ้าจะก้าวเข้ามาเป็นตัวแทนรถยนต์สันดาปในก็มีสูงมาก