ผลศึกษาฉบับใหม่พบผู้ขับขี่ทั่วโลกกว่า 50% คาดหวังซื้ออีวีใน 10 ปีข้างหน้า แนะบริษัทรถรีเซ็ตกลยุทธ์ ปรับโฟกัสใหม่จากกลุ่มผู้นำกระแสที่เชี่ยวชาญด้านไอทีมาเป็นกลุ่มผู้ซื้อกระแสหลักที่ให้ความสำคัญกับความไว้วางใจได้ ความปลอดภัย และราคาที่จับต้องได้แทน
เอคเซนเชอร์ บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเปิดเผยผลสำรวจที่มาจากการสอบถามความคิดเห็นผู้ซื้อรถ 6,000 คนในอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งพบว่า ผู้ขับขี่ 57% คาดว่า จะซื้ออีวีภายใน 10 ปีข้างหน้า และมีเพียง 10% ที่บอกว่า ไม่คิดซื้อรถประเภทนี้ ขณะที่ 23%ที่ยังไม่มีอีวี มีแผนซื้อภายใน 5 ปี
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น จีนที่ผู้ขับขี่ 65% เชื่อว่าอนาคตฝากไว้กับรถยนต์ไฟฟ้า และ 44% ของคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของอีวีมีแผนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าใน 5 ปี ขณะเดียวกัน มีผู้ตอบแบบสอบถามในเยอรมนีและฝรั่งเศสแค่ 37% และ 36% ตามลำดับที่ชื่นชอบอีวีอย่างมาก
ผลสำรวจของเอคเซนเชอร์สอดคล้องกับรายงานยอดขายที่ออกมาก่อนหน้านี้ เช่น เมื่อต้นปีเยอรมนีมีจำนวนการลงทะเบียนอีวีลดฮวบ สวนทางกับการเติบโตในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์นอกจากนั้นยอดขายอีวีโดยรวมในยุโรปแม้ขยายตัวแต่ช้าลง ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้อเมริกาตีตื้นขึ้นมาเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากจีนในไตรมาส 3
ผลสำรวจตั้งข้อสังเกตว่า แม้ยอดขายอีวีทั่วโลกในปี 2023 เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า และควรเป็นสัญญาณที่ดี แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า บริษัทรถยังต้องรีเซ็ตกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย กล่าวคือแทนที่จะโฟกัสที่ฟีเจอร์ไฮเทคที่เคยประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่เป็นพวกที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านไอที แต่เอคเซนเชอร์เชื่อว่า ผู้ผลิตควรเปลี่ยนมาโฟกัสที่ข้อกังวลของผู้ซื้อกระแสหลักแทน โดยผู้ซื้อรถส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับความไว้วางใจได้ (83%) ความปลอดภัย (82%) และราคาที่จับต้องได้ (82%)
การชาร์จยังเป็นข้อกังวลสำหรับคนที่กำลังชั่งใจซื้ออีวีเป็นรถคันต่อไป โดยผลสำรวจพบว่า ผู้ขับขี่ 70% ทั่วโลกคาดหวังว่า จะสามารถชาร์จรถได้ทุกที่ที่จอด ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือสถานที่สาธารณะอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตก็ตาม ระยะวิ่งต่อการชาร์จเป็นอีกหนึ่งข้อถกเถียงสำคัญ โดยผู้ขับขี่ 81% ทั่วโลกระบุว่า ขนาดแบตเตอรี่และระยะวิ่งต่อการชาร์จเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ในการพิจารณาซื้ออีวี
เอคเซนเชอร์ยังรวมโปรไฟล์ด้านจิตวิทยาเข้ากับว่าที่ผู้ซื้อกลุ่มต่างๆ เช่น ขณะที่ “นักกลยุทธ์” หรือ “ผู้ที่เชื่อในแนวคิดปัจเจกนิยม” ให้ความสำคัญกับความหรูหราและฟีเจอร์ไฮเทตามลำดับ “ผู้ดูแล” กลับมองรถเป็นเพียงเครื่องมือ และ “พวกอนุรักษนิยม” เน้นย้ำความไว้วางใจได้ ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่อ้าแขนรับรถยนต์ไฟฟ้าคือ “ผู้มัธยัสถ์” ที่จะเปลี่ยนมาซื้ออีวีต่อเมื่อราคาลดลงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีงานศึกษาอีกหลายชิ้นที่ได้ผลลัพธ์คล้ายกันเกี่ยวกับความสนใจในอีวีที่ซบเซาลง เช่น โพลล์ของแกลลัพเมื่อปีที่แล้วที่ตอกย้ำว่า จำนวนคนอเมริกันที่อยากเป็นเจ้าของอีวีลดลงจากปี 2022 และผลศึกษาของเจ.ดี. พาวเวอร์ประจำปี 2023 พบว่า อัตราการยอมรับอีวีในอเมริกาแตกต่างกันไปแต่ละรัฐ