ชัยชนะของ Donal Trump ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุด ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทรถยนต์พลังไฟฟ้าของจีนต้องกลับมาอยู่ในความเสี่ยงและมองหาลู่ทางใหม่ในการขยายตลาดออกนอกประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้แบรนด์รถยนต์จีนต้องเจอกับกำแพงภาษีนำเข้าอันสูงโด่งของทั้งสหรัฐอเมริกา และ EU ขณะเดียวกัน Tesla ของ Elon Musk ก็เตรียมรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากชัยชนะของ Trump ในครั้งนี้
ชัยชนะของ Trump และ Tesla
มีรายงานจากรอยเตอร์ระบุว่า หุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับ Tesla พุ่งสูงขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนเดิมพันว่าผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ที่สุดของโลกจะขยายตัวและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในยุค Trump 2.0 เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Elon Musk และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ Tesla เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อหุ้นของผู้ผลิตจีนบางรายที่เชื่อว่าเป็นซัพพลายเออร์ของ Tesla พุ่งสูงขึ้นประมาณ 20% ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
Musk เป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับ Trump ในระหว่างการหาเสียงของเขา และผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้กล่าวชื่นชม Musk ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ชัยชนะของเขา ขณะเดียวกัน Musk เองยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนอีกด้วย โรงงาน Gigafactory เซี่ยงไฮ้ของ Tesla ซึ่งเปิดทำการเมื่อปลายปี 2019 ถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกของบริษัท ในเดือนเมษายน
แม้ว่าชัยชนะครั้งนี้ของ Trump จะถูกมองว่าเป็นปัจจัยลบต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ผลิตในจีน เนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร แต่หุ้นของ Tesla ก็พุ่งขึ้นมากกว่า 14% ในวันพุธในสหรัฐอเมริกา
หุ้นของ Wuxi Jigang Precision Machinery ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการหล่อโลหะผสมอะลูมิเนียม พุ่งขึ้นมากกว่า 20% ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี และปิดตลาดสูงขึ้น 18.5%โดยในปี 2021 บริษัทที่จดทะเบียนในปักกิ่งประกาศว่าผลิตภัณฑ์หนึ่งของบริษัทจะถูกใช้ในรถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ของ Tesla โดยหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 68 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
Chongqing Millison Technologies ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์อีกรายหนึ่ง ของ Tesla พุ่งขึ้นมากกว่า 15% ในเช้าวันพฤหัสบดี และปิดตลาดสูงขึ้น 8.5% บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนในกระดาน ChiNext ในรูปแบบของ Nasdaq ของ Shenzhen โดยบริษัทสูญเสียไปประมาณ 1% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงหุ้นดังกล่าว เนื่องจากบริษัทที่จัดหาสินค้าให้กับ Tesla เหล่านี้ ก็อาจจะจัดหาสินค้าให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เชื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปั่นป่วนแน่
การเข้ามาของ Trump ในครั้งนี้ถูกมองว่าอาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังไฟฟ้าในแง่ของการเติบโตเชิงมหภาค หลังจากที่ Joe Biden ได้วางนโยบายหลายต่อหลายอย่างในการเอื้อต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังไฟฟ้ามาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และว่ากันว่า การบริหารบริษัทผลิตรถยนต์ที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องยาก ก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายทางภาครัฐ
มีการยืนยันว่าประธานาธิบดี Trump ซึ่งกำลังจะกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง มีแนวโน้มที่จะยกเลิกกฎระเบียบการปล่อยมลพิษของยานยนต์และนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าบางส่วนในระหว่างดำรงตำแหน่งที่ทำเนียบขาว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเขาจะรื้อนโยบายเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เพราะตัวเขาเองก็จะต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกับ Musk มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกและซีอีโอของ Tesla ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนของเขา
ที่ผ่านมา Trump ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าตัวเขาเองไม่ใช่แฟนของรถยนต์ไฟฟ้า และดูถูกเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังรถยนต์ไฟฟ้า โดยเรียกรถยนต์ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความเจริญรุ่งเรืองของอุตสาหกรรม และยังบอกว่าจะรื้อนโยบายของ Biden ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยนักวิเคราะห์วอลล์สตรีทส่วนใหญ่เชื่อว่าประธานาธิบดีคนใหม่จะยกเลิกเครดิตภาษีการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 7,500 เหรียญสหรัฐต่อคัน
นอกจากนี้ Trump ยังมีแนวโน้มที่จะผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยมลพิษของ EPA ซึ่งพรรครีพับลิกันเรียกสิ่งนี้ว่า “ไม้ตายในการเติบโต” ของรถยนต์ไฟฟ้า โดยเชื่อว่าจะไม่มีข้อกำหนดให้ลูกค้าต้องซื้อรถยนต์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยมลพิษไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะในแง่หนึ่ง สิ่งนี้จะช่วยปรับกฎการปล่อยมลพิษและความต้องการของผู้บริโภคให้สอดคล้องกัน มาตรฐานที่ผ่อนปรนลงไม่ได้มีอยู่จริงสำหรับบริษัทผลิตรถยนต์ใดๆ ตั้งแต่ Telsa ไปจนถึง Ford Motor เช่นกัน และ Ford ซึ่งมีรถยนต์ส่วนใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอาจได้รับการสนับสนุนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า Trump น่าจะมีบทเรียนในสมัยแรกของเขา และไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวของมลรัฐแคลิฟอร์เนียที่ถือเป็นฐานเสียงใหญ่มาก เพราะตอนนั้น เขาท้าทายอำนาจของคณะกรรมการทรัพยากรทางอากาศของแคลิฟอร์เนีย หรือ CARB ในการควบคุมการปล่อยมลพิษของรัฐฯ จนสุดท้ายต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาให้กับ Biden
ตลาดอาเซียนเตรียมรับมือแบรนด์จีน
ชัยชนะของ Trump ถูกมองว่าไม่เพียงจะเกิดแรงกระเพื่อมในเชิงลบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทรถยนต์จากจีนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของพวกเขา เรียกว่าเรื่องเก่ายังไม่จบเรื่องใหม่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา และว่ากันว่า ตลาดอาเซียนอาจจะกลายเป็นฐานการผลิตและตลาดแห่งใหม่ของแบรนด์จีนในขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนในสหรัฐอเมริกา
คาดว่ากำแพงภาษีที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้านี้อาจจะกลายเป็นอุปสรรคที่ทั้งหนาและสูงขึ้นจากเดิม โดย Trump จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูง หากเขาสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกครั้ง โดยขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 60% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีที่เขาเรียกเก็บในสมัยแรกในนระดับ 7.5-25% เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่สำหรับเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังเบนเข็มมาที่ประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้ากำลังเบ่งบานทั้งในไทย เวียดนาม และมาเลเซีย โดยอาจจะมาทั้งในรูปแบบของการจำหน่าย ผลิต และเป็นฐานส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงสหรัฐอเมริกา และ EU หากว่าพวกเขาไม่สามารถส่งรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานจีนไปขายได้โดยตรง
ทางมาเลเซียเองก็หวังที่จะดึงเงินลงทุนจำนวน 100 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้ามาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาเป็นฐานการผลิตของแบรนด์รถยนต์พลังไฟฟ้า โดยเฉพาะในเรื่องของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ส่วนไทยซึ่งในตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งเนื้อหอมสำหรับแบรนด์รถยนต์จีนนั้น ได้รับเงินลงทุนมากกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเข้ามาของบริษัทรถยนต์พลังไฟฟ้าจากจีน
‘เราต้องการการลงทุนจากจีนเพื่อให้ไทยเป็นฐานผลิตส่งต่อไปขายยังสหรัฐอเมริกา’ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กล่าวกับสำนักข่า Reuter ‘ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน เราเป็นที่รักของทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ผมไม่เห็นความจำเป็นที่เราจะต้องเลือกข้างเลย’
แน่นอนว่า ถ้าการเข้าไปแบบตรงๆ ของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ผลิตจากจีนคือปัญหา เชื่อว่าช่องโหว่ของกฎข้อบังคับอาจจะต้องบีบให้จีนหันมาสนใจการลงทุนในภูมิภาคเหล่านี้เพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา และ EU โดยเฉพาะกับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับจากทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา