ราคาของแบตเตอรี่ยังเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญต่อราคาจำหน่ายของรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV และบรรดานักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าการทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้ามีราคาที่เข้าถึงได้และมีราคาที่ถูกลง (จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ถือเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรม เพราะคนทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา คงจะไม่ทิ้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยเพียงเพราะความใจดีหรือความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป
ดังนั้น เพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้ แบตเตอรี่จะต้องมีราคาถูกลงจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และข่าวดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะยังคงลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามการวิจัยที่เผยแพร่โดยทางด้าน Goldman Sachs
นักวิจัยของธนาคารคาดการณ์ว่าราคาแพ็คแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกจะลดลงเหลือเพียง 82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ภายในปี 2026 ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของราคาแบตเตอรี่ในปี 2023 (149 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) และยังลดลงอย่างต่อเนื่องในอัตราที่มากถึง 26% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในปีนี้ด้วย โดยนักวิจัยคาดการณ์ว่าต้นทุนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 111 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในสิ้นปี 2024 จากเดิมที่เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วแบตเตอรี่รุ่นเดียวกันนี้จะมีต้นทุนสูงถึง 780 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2013
รายงานของ Goldman Sachs ระบุว่าราคาที่คาดการณ์ไว้ และจะเกิดขึ้นในปี 2026 ถือเป็นก้าวสำคัญของการเติบโตและได้รับความนิยมของรถยนต์พลังไฟฟ้าในตลาดทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐอเมริกาที่ถูกมองว่าจะเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์พลังไฟฟ้ารองจากจีน
เพราะ 2026 คือ ปีที่มีการประเมินว่าราคาของแบตเตอรีจะอยู่ในระดับที่ต่ำลงอย่างมาก จนทำให้มีต้นทุนในการเป็นเจ้าของเทียบเท่ากับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับการอุดหนุน ซึ่งในปัจจุบัน รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ จะมีราคาโดยเฉลี่ยมีราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าในเรื่องของต้นทุนในการดูแลรักษา ค่าเชื้อเพลิง และค่าซ่อมบำรุงในแง่ของการเป็นเจ้าของจะสูงกว่ารถยนต์พลังไฟฟ้าก็ตาม
แน่นอนว่ารุ่นใหม่ๆ เช่น Chevrolet Equinox EV ที่มีราคา 35,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีระยะทางวิ่งได้มากกว่า 300 ไมล์ (หรือ 482 กิโลเมตร) จะถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่สามารถวางรากฐานในการเติบโตและเพิ่มความนิยมของรถยนต์พลังไฟฟ้าให้กับตลาดสหรัฐอเมริกา แต่ทว่าด้วยราคาเปรียบเทียบกับสเป็กที่เป็นอยู่นั้น ยังถือว่าห่างไกลจากบรรทัดฐานที่ควรจะต้องเป็น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้และยอมรับจากลูกค้าในตลาด
อย่างไรก็ตาม ราคาของ Equinox EV ถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยในด้านราคาของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่จำหน่ายอยู่ในสหรัฐอเมริกา ณ ตอนนี้ ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 56,000 เหรียญสหรัฐฯ และถือว่าแพงกว่ารถยนต์สันดาปภายในประมาณ 15% โดยราคาเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในของตลาดสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ 48,000 เหรียญสหรัฐฯ
“แบตเตอรี่มีราคามากกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ ดังนั้น หากคุณลดราคาแบตเตอรี่ลงครึ่งหนึ่ง คุณก็จะลดต้นทุนของรถยนต์ได้อย่างมาก ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก” Sean Tucker นักวิเคราะห์ของ Goldman Sach กล่าว “จากการศึกษาหลายต่อหลายครั้งพบว่ามี 3 สาเหตุที่ผู้คนลังเลที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นั่นคือต้นทุน ความกังวลเรื่องระยะทาง และโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ หากแก้ไขเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ยอดขายจะเพิ่มขึ้นในประมาณที่น่าสนใจ แต่คุณจะไม่เห็นรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่และมียอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งจนกว่าเราจะแก้ไขทั้ง 3 ข้อนี้ได้ทั้งหมด”
นอกจากนั้น นักวิจัยของ Goldman Sach อีกคนยังกล่าวว่าต้นทุนโดยรวมในการเป็นเจ้าของที่มีความเท่าเทียมกันของรถยนต์พลังไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าฟื้นตัวขึ้นอย่างมากในปี 2026 ซึ่งนั่นก็สมเหตุสมผลดี เนื่องจากการจ่ายเงินเพิ่มจากที่ควรจะเป็นเพื่อเป็นเจ้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยนั้นถือเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเติบโตของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกากำลังชะลอตัวลง
“เราคิดว่าจะได้เห็นความต้องการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้ากลับมาอย่างแข็งแกร่งในปี 2026 มันเป็นเรื่องที่วิเคราะห์จากมุมมองในเชิงเศรษฐศาสตร์ล้วนๆ เราเชื่อว่าในปี 2026 จะเป็นปีที่ผู้บริโภคเริ่มใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น” Nikhil Bhandari หัวหน้าร่วมฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Goldman Sachs Research กล่าว ‘ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงจะทำให้ราคาโดยรวมของรถยนต์พลังไฟฟ้าลดลงจนลูกค้าทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ นี่คือ เหตุผลหลัก การที่รถยนต์พลังไฟฟ้าจะอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีการอุดหนุนจากทางภาครัฐไม่ว่าจะในกระบวนการหรือขั้นตอนไหนก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่สมควรเกิดขึ้น เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนและราคาที่แท้จริงซึ่งรถยนต์พลังไฟฟ้าควรจะต้องเป็น”
ตามที่ Bhandari ระบุ มีปัจจัยหลัก 2 ประการที่ทำให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีทำให้บริษัทต่างๆ สามารถผลิตแบตเตอรี่ที่มีพลังงานมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลงได้ จะเห็นได้ว่า ในราคาที่เท่ากัน แบตเตอรี่รุ่นใหม่ๆ มีกำลังไฟมากกว่าแบตเตอรี่รุ่นเก่าๆ ถึง 30% เลยทีเดียว นั่นเป็นเรื่องของนวัตกรรมและการพัฒนาที่มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อนยๆ
ส่วนอีกข้อ คือ ต้นทุนของโลหะที่ใช้ทำแบตเตอรี่ เช่น ลิเธียมและโคบอลต์ ก็ลดลงเช่นกัน โดยเกือบ 60% ของต้นทุนแบตเตอรี่มาจากโลหะเหล่านี้ และเมื่อเราพูดถึงแบตเตอรี่ตั้งแต่ปี 2023-2030 ประมาณ 40% ของการลดลงของราคานั้นมาจากต้นทุนในแง่ของวัตถุดิบการผลิตที่ลดลง โดยในอดีตความต้องการโลหะเหล่านี้ที่เคยมีปริมาณสูงและเมื่อบวกกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่และวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนี้ เมื่อมีกำลังการผลิตเหมืองแร่และการแปรรูปเพิ่มมากขึ้น ราคาจึงลดลงอีกครั้ง มันเป็นเรื่องของดีมานด์-ซัพพลายที่เข้าใจได้ภายใต้บริบทที่เหมาะสม
Goldman Sachs คาดว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึงปี 2030 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อทั้งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและผู้บริโภค ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยเมื่อถึงทศวรรษใหม่ นักวิจัยคาดการณ์ว่าราคาแบตเตอรี่เฉลี่ยทั่วโลกจะอยู่ที่ 64 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของราคาเฉลี่ยในปี 2019 เลยทีเดียว
ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับ Golsman Sachs
Mark P. Mills กรรมการบริหารของ National Center for Energy Analytics ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานแห่งชาติ แสดงความกังขาต่อการคาดการณ์ของ Goldman Sachs ตามรายงานที่เปิดเผยออกมา โดย Mills กล่าวว่าตลาดรถยนต์ในปัจจุบันยังห่างไกลจาก "ความเท่าเทียมของราคาที่แท้จริง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโครงสร้างพื้นฐานการเติมเชื้อเพลิงให้กับยานพาหนะ และความต้องการของโลหะในการผลิตแบตเตอรี่ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
โลหะเหล่านี้จะต้องถูกขุดขึ้นมาจากพื้นผิวโลก และ Mills กล่าวว่าไม่มีเหมืองเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการแร่ธาตุสำหรับการผลิต BEV ในระดับที่ใหญ่กว่านี้ และเขากล่าวว่าเหมืองใหม่ยังต้องใช้เวลามากกว่าทศวรรษในการพัฒนาให้มีความทันสมัย และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในส่วนต่างๆ ของโลกซึ่งต้องการแร่ธาตุสำคัญจำนวนมากเช่นเดียวกับที่ใช้ในการขับเคลื่อน BEV เขาไม่เห็นว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงอย่างต่อเนื่องในเร็วๆ นี้
นั่นคือการประเมินจากสิ่งที่เป็นอยู่ และแน่นอนว่ารถยนต์พลังไฟฟ้ายังคงเป็นจุดหมายปลายทางในการพัฒนาของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์อยู่ตอนนี้ ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้ การที่เราจะได้เห็นปริมาณรถยนต์พลังไฟฟ้าแล่นอยู่บนท้องถนนมากขึ้นก็มีความเป็นไปได้มากขึ้น