ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แบรนด์รถยนต์จะเดินทางถึงยอดการผลิตครบ 100 ล้านคันได้สำเร็จ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์มีมานานกว่า 100 ปี และรถยนต์คือ ยานพาหนะทางบกยอดนิยมที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนทั่วโลกด้วยยอดขายราวๆ 80 ล้านคันต่อปีจากตลาดทุกแห่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ระยะเวลาในการไปถึงหลักชัยนี้ต่างหากที่จะมีความแตกต่างกัน และ Hyundai กลายเป็นแบรนด์ที่สามารถผลิตรถยนต์ครบ 100 ล้านคัน โดยใช้เวลาเพียง 57 ปีเท่านั้น
Hyundai Motor ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 1967 ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากบริษัททางด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างที่เกิดขึ้นในปี 1947 โดยเมื่อก่อน ฮุนได รับจ้างผลิต Ford Cortina ที่ขายในเกาหลีใต้ ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ด้วยตัวเองในปี 1975 กับรถยนต์รุ่น Pony ที่ออกแบบโดย Giorgio Giugiaro แห่ง Italdesign และเริ่มส่งออกเป็นครั้งแรกในปีต่อมาที่ประเทศเอกวาดอร์ก่อนขยายออกสู่ตลาดในยุโรป และแคนาดาในปี 1984 จากนั้นจึงเริ่มรุกตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาในปี 1986 และภูมิภาคอื่นๆ ของโลกในช่วงทศวรรษที่ 1990
การผลิตรถยนต์ครบ 100 ล้านคันของ ฮุนได ไม่ใช่เรื่องแปลกของอุตสาหกรรมแห่งนี้ เพราะบริษัทใหญ่ๆ ยอดขายระดับ 10 ล้านคันต่อปี เช่น Volkswagen, Ford, Chevrolet และ Toyota ต่างก็ถึงหลักชัยนี้กันมาแล้ว เพียงแต่พวกเขาใช้ระยะเวลาในการไปถึงตัวเลข 100 ล้านคันนานกว่าของ ฮุนได เท่านั้นเอง โดยแบรนด์จากเกาหลีใช้เวลาเพียง 57 ปี ขณะที่ Toyota เริ่มผลิตรถยนต์คันแรกคือ กระบะรุ่น G1 ในปี 1935 และใช้เวลา 62 ปีกว่าจะถึงการผลิตรถยนต์คันที่ 100 ล้านในปี 1997 แต่ทว่าในการทำยอดอีก 100 ล้านคันต่อมาใช้เวลารวดเร็วมาก เพียง 15 ปีเท่านั้น ซึ่ง Toyota ฉลองการผลิตรถยนต์คันที่ 200 ล้านไปในปี 2012
บริบทที่เปลี่ยนไป คือ สิ่งที่น่าสนใจว่าทำไม ฮุนได ถึงผลิตรถยนต์ได้เยอะขึ้นและเร็วขึ้น โดยรถยนต์คันที่ 100 ล้านของพวกเขาคือ รถยนต์พลังไฟฟ้า IONIQ 5 และมีการเปิดเผยว่าการที่รถยนต์พลังไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์รถยนต์หลักๆ ยังแทบไม่ขยับตัวในการรุกตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ซึ่งต่างจาก ฮุนได และ เกีย ที่เป็นบริษัทในเครือ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดย่อมหมายความว่า ทางเลือกของรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ในระดับโลกสำหรับลูกค้าย่อมเหลือไม่มากแล้ว และยิ่งแบรนด์รถยนต์จีนถูกกีดกันทางการค้าจากตลาดใหญ่อย่างยุโรป และสหรัฐอเมริกา ตรงนี้กลับส่งผลดีต่อยอดขายและความนิยมที่มีต่อ ฮุนได และเป็นตัวเร่งผลักดันยอดขาย ที่จะส่งผลต่อยอดผลิตของพวกเขา
“การบรรลุยอดผลิตสะสมทั่วโลกถึง 100 ล้านคันถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญซึ่งเกิดขึ้นได้ต้องขอบคุณลูกค้าของเราทั่วโลกที่เลือกและสนับสนุนฮุนได มอเตอร์มาตั้งแต่แรกเริ่ม” Jaehoon Chang ประธานและซีอีโอกล่าวในแถลงการณ์ “การเผชิญกับความท้าทายที่กล้าหาญและการแสวงหานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องทำให้เราเติบโตอย่างรวดเร็วและจะทำให้เราสามารถก้าวไปอีกขั้นเพื่อไปสู่ยอดผลิตอีก 100 ล้านคันในฐานะผู้เปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ นี่คือโอกาสที่พิเศษของพวกเรา และเป็นเพียงก้าวแรกสู่ยุคแห่งอนาคตของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ Hyundai Motor จะเป็นผู้นำ” โดย ฮุนได เน้นย้ำถึงความสำเร็จนี้ตามมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทด้วยรถยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง (รวมถึง Kia และ Genesis) ที่ใช้แพลตฟอร์ม E-GMP
ฮุนได ได้เริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าด้วย SONATA Electric ในปี 1991 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮุนได ได้สั่งสมความเชี่ยวชาญและทดลองรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูง เช่น BLUE ON Electric ในปี 2010
ในปี 2016 ฮุนได ได้เปิดตัว IONIQ ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ ไฮบริด (HEV) ไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (BEV) และในปี 2018 ฮุนได ได้เปิดตัว KONA Electric ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่แล่นทำระยะทางได้ไกลขึ้น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่ง จากนั้นปี 2021 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญมาถึงพร้อมกับการเปิดตัวแบรนด์ IONIQ ซึ่งออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นับเป็นการเปิดศักราชใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ ถือเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเฉพาะของ ฮุนได โดยสร้างขึ้นจากมรดกของ IONIQ ดั้งเดิมที่ขึ้นชื่อในด้านเทคโนโลยีการสัญจรที่ล้ำหน้าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คำว่า IONIQ มาจากคำว่า 'Ion' ซึ่งหมายถึงพลังงานที่ผลิตได้จากไฟฟ้า และคำว่า 'Unique' ซึ่งเน้นย้ำถึงแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ของ Hyundai
แบรนด์ IONIQ มุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมอบประสบการณ์การเดินทางที่สร้างสรรค์ให้กับลูกค้าด้วย โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ IONIQ ประกอบด้วย CUV ขนาดกลาง IONIQ 5 ซึ่งเปิดตัวในปี 2021 ตามด้วย IONIQ 6 ในปี 2022 ฮุนได วางแผนที่จะเปิดตัวรุ่นต่อไปในปี 2024 เพื่อเดินหน้าสู่การใช้ชีวิตที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและเชื่อมต่อในด้านต่างๆ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในตลาดและความสำเร็จด้วยการเจาะตลาดด้วยรถยนต์พลังไฟฟ้าช่วยให้ ฮุนได สามารถก้าวข้ามจุดเปลี่ยนสำคัญได้สำเร็จ โดยรถยนต์คันที่ 100 ล้านของบริษัท ซึ่งเป็น IONIQ 5 ออกจากสายการผลิตเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2024
Hyundai Motor Way ถือเป็นกลยุทธ์ด้านการรุกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าที่สำคัญของ ฮุนได ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2 ล้านคันสู่ตลาดโลกภายในปี 2030 กลยุทธ์นี้ครอบคลุมถึงการนำสถาปัตยกรรมโมดูลาร์แบบบูรณาการ (IMA) มาใช้ เพื่อสนับสนุนความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ยกระดับความเชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ และสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน การพัฒนาแพลตฟอร์ม EV รุ่นถัดไปโดยเฉพาะ รวมถึงการนำแพล็ตฟอร์ม IMA มาใช้ เพื่อแทนที่แพลตฟอร์ม EV E-GMP ที่มีอยู่ ถือเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าของพวกเขาในตลาด เช่นเดียวกับการเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน
นอกจากนั้น การสร้างโรงงาน EV ใหม่เพื่อขยายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิต การนำสิ่งอำนวยความสะดวกด้านเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอยู่มาใช้ใหม่เพื่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนและเวลา การรวมแหล่งจัดหาวัสดุแบตเตอรี่ที่มั่นคง การเพิ่มความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย ยังถือเป็นกลยุทธ์และนโยบายที่สำคัญที่ช่วยผลักดันให้ ฮุนได สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
การนำนวัตกรรมการผลิตมาใช้ในโรงงานผลิตคือ ปัจจัยที่ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยตามโรงงานต่างๆ ยังมีการแนะนำเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยลดต้นทุนและเร่งเวลาการผลิต และในช่วงต้นเดือนหน้า ฮุนได จะเปิดตัวโรงงาน Metaplant America แห่งใหม่มูลค่า 7.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในจอร์เจีย ซึ่งบริษัทจะสร้างรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่
อีกทั้ง ฮุนได ขยายฐานการผลิตทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้เปิดศูนย์พัฒนานวัตกรรมระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์แห่งใหม่ในสิงคโปร์
ถือเป็นก้าวย่างที่น่าจับตามองสำหรับฮุนได ในการสยายปีกในตลาดรถยนต์ระดับโลก หลังจากที่ทุกคนจับตามองเฉพาะแบรนด์จากจีนตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
