เรื่องราวของการเติบโตและการขยายตัวของรถยนต์พลังไฟฟ้าหรือ BEV ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง และมีอะไรให้ค้นหาอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งในตอนนี้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการได้ลองใช้งานและเป็นเจ้าของรถยนต์พลังไฟฟ้าแล้วพบว่าในหลายตลาด กลุ่มตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้ในการวิจัยระบุชัดเจนเลยว่า อยากจะกลับไปใช้รถยนต์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในเหมือนเดิม โดยเฉพาะกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยปลื้มกับเจ้า BEV สักเท่าไร
งานวิจัยที่บอกถึงการปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า
เราคุ้นเคยกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมากว่า 100 ปี และช่วงชีวิตของคนส่วนใหญ่ในโลกที่ขับรถยนต์ต่างก็มีพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับการใช้รถยนต์ประเภทนี้ นั่นเลยทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาว่า เมื่อต้องเปลี่ยนหรือปรับอะไรจากที่คุ้นเคยมาทั้งชีวิตอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้
รถยนต์พลังไฟฟ้าคือ ทางออก ณ ปัจจุบันในเรื่องของการลดปัญหาโลกร้อน แต่ส่วนใหญ่แล้วเลือกใช้ด้วยเหตุผลในเรื่องของความต้องการลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่จะต้องแลกมาคือ การปรับพฤติกรรมการใช้รถยนต์ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกมองว่าเป็นอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนเลือกที่จะยังไม่ก้าวเข้าสู่โลกของการขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษประเภทนี้
นั่นยังไม่รวมถึงเรื่องของความแพร่หลายในส่วนของระบบสาธารณูปโภคสาธารณะที่จะต้องรองรับกับการชาร์จกระแสไฟฟ้า จากปริมาณรถยนต์พลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี
จากการวิจัยของ McKinsey & Co.'s เกี่ยวกับเรื่องกรณีศึกษา Mobility Consumer Pulse ประจำปี 2024 โดยจะเป็นการพูดคุยและสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการใช้ยานยนต์สำหรับการขับเคลื่อนในอนาคต ผ่านทางกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากกว่า 30,000 คนใน 15 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ นอรเวย์ อิตาลี จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ เป็นต้น โดยมีเรื่องราวน่าสนใจหลายอย่าง เช่น
-38% ของกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่มีรถยนต์มีแนวโน้มว่าจะซื้อรถยนต์คันแรกของตัวเองเป็นแบบ BEV หรือ PHEV แบบไฮบริด
-27% ของลูกค้าชาวยุโรปที่มีรถยนต์พลังไฟฟ้าใช้งาน มีแนวโน้มว่าจะหันไปคบกับแบรนด์จีนในกรณีที่มีการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่
-37% ของคนที่ขับรถยนต์พลังไฟฟ้า มีแนวโน้มว่าจะซื้อรถยนต์คันต่อไปผ่านทางช่องทางออนไลน์
-21% ของคนที่ขับรถยนต์พลังไฟฟ้า จะใช้เรื่องของการขับขี่อัตโนมัติเป็นหัวหลักในการพิจารณาเมื่อจะต้องซื้อรถยนต์คันต่อไป
แต่ที่น่าสนใจคือ 29% ของคนที่เป็นเจ้าของรถยนต์พลังไฟฟ้า กำลังพิจารณาจะกลับไปใช้รถยนต์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
เพราะอะไรและทำไม ?
การระบุถึงเรื่องของพฤติกรรมที่จะต้องเปลี่ยนไปในการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าในด้านต่างๆ และมีการพูดถึงเรื่องประสบการณ์การเป็นเจ้าของ โดยมีการระบุถึงอัตราส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไรในการใช้งานรถยนต์พลังไฟฟ้า และต้องการกลับไปใช้รถยนต์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะเรื่องของความไม่พร้อมของแท่นชาร์จสาธารณะที่ยังไม่เพียงพอและเติบโตได้อย่างรวดเร็วกับการขยายตัวของตลาด จนทำให้เกิดปัญหาในระหว่างการใช้งานได้ แม้ว่าจะไม่บ่อยครั้ง แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้
พฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยน และต้องใช้เวลา
จากตัวเลขที่เป็นค่าเฉลี่ยจากทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 29% นั้น เมื่อมีการมาดูที่รายละเอียดภายในแล้วจะพบว่า ต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ ก็คือ เรื่องของแท่นชาร์จสาธารณะที่ไม่พอเพียงกับประชากรของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในสหรัฐอเมริกาเอง เหตุผลในส่วนนี้มีสูงเป็นอันดับของการวิจัยเลย คือ 46% ของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนอันดับ 1 คือ ออสเตรเลีย อยู่ที่ 49% ขณะที่จีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์พลังไฟฟ้า มีตัวเลขในส่วนนี้ 28% เลยทีเดียว ทั้งที่อัตราการขยายตัวของแท่นชาร์จสาธารณะของจีนเองก็ไม่ได้มีน้อยและเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เครือข่ายการชาร์จของสหรัฐอเมริกากำลังเติบโต ซึ่งสามารถขจัดอุปสรรคเหล่านี้สำหรับเจ้าของได้ เมื่อเดือนพฤษภาคม สหรัฐฯ มีที่ชาร์จ EV สาธารณะ 183,000 เครื่อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ กฎหมายโครงสร้างพื้นฐานในปี 2021 ได้จัดสรรเงินช่วยเหลือ 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างที่ชาร์จแบบ Quick Charge แต่การเปิดตัวจะคงอยู่ตลอดไปเนื่องจากกฎระเบียบของท้องถิ่น รัฐ และรัฐบาลกลาง และความต้องการของผู้บริโภคมากมาย
เหตุผลอื่นๆ ที่เจ้าของให้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนกลับ ได้แก่ ไม่สามารถชาร์จที่บ้านได้ (24% ) ความเครียดจากการกังวลเกี่ยวกับการชาร์จ (21% ) และข้อกำหนดด้านการเคลื่อนที่ของการชาร์จ (16% ) มีเพียง 13% เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาไม่สนุกกับประสบการณ์การขับขี่ บางคนสนุกกับการขับรถเผาไหม้ เช่น 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามในสหรัฐฯ และ 28% ในเยอรมนี
ประสบการณ์ที่เริ่มมีความวุ่นวาย
นอกจากนั้นอีก 34% ของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่ากำลังพิจารณากลับสู่โลกของ ICE ยังระบุว่า การใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าไม่ได้ประหยัดจริงอย่างที่คิด เพราะมีต้นทุนในการเป็นเจ้าของที่สูงเกินไป และอีก 32% บอกว่าการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อรูปแบบการใช้รถของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อต้องขับทางไกล
‘รถธรรมดา มันก็สะดวกนั่นแหละ คุณขับรถไปจนต้องเติมน้ำมัน จากนั้นขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน และอีก 10 นาทีต่อมา (หรือน้อยกว่านั้น) คุณก็ออกเดินทาง คุณไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องการเติมพลังงานในระหว่างใช้งาน มันเกิดขึ้นโดยแทบไม่ต้องมีการคิดล่วงหน้าเลย การดูแลรถยนต์ไฟฟ้าต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ผู้คนใช้ชีวิตอย่างยุ่งวุ่นวาย อะไรก็ตามที่เพิ่มการวางแผนอีกชั้นหนึ่งถือเป็นเรื่องน่ารำคาญ และการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีการวางแผนมากกว่าการหาปั๊มน้ำมัน แน่นอนว่ายังมีเรื่องเล็กน้อยในการป้องกันไม่ให้โลกกลายเป็นมันฝรั่งอบที่ไม่รองรับชีวิตมนุษย์อีกต่อไป แต่นั่นคืออีกสิบปีข้างหน้า ในขณะที่การทำงานให้ตรงเวลาถือเป็นการพิจารณาในระยะเวลาอันใกล้นี้ ความสะดวกสบายกับความยั่งยืน ในกรณีส่วนใหญ่ หากเป็นเช่นนั้น ความสะดวกสบายจะชนะทุกครั้ง’ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง
อย่างไรก็ตาม Boston Globe กล่าวว่าผลการวิจัยของ McKinsey ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด ในบรรดาผู้ตอบแบบสำรวจที่ยังคงขับรถ ICE นั้น 38% กล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่หรือปลั๊กอินไฮบริดเป็นรถคันต่อไป นอกจากนี้การสำรวจอื่นๆ ยังพบว่าผู้บริโภคชอบรถยนต์ไฟฟ้า การสำรวจเจ้าของ EV 300 รายโดย CDK Global ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ พบว่า 73% วางแผนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในอนาคต Liz Najman ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลเชิงลึกด้านตลาดของ Recurrent ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยที่ติดตามตลาด EV กล่าวว่าการสำรวจเจ้าของ EV แสดงให้เห็นความพึงพอใจของเจ้าของในระดับสูงที่ใกล้เคียงกัน
เรียกว่าตอนนี้อยู่ในยุคเริ่มต้นของ EV. และทุกอย่างยังไม่ลงตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความเห็นและความรู้สึกจะแตกออกเป็น 2 ขั้วอย่างที่เป็นอยู่