แม้ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เปิดตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ BEV ในเชิงพาณิชย์ แต่หลังจากที่ครองตลาดมาได้เพียง 10 ปี นิสสัน และ LEAF ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ประเภทนี้โดยเฉพาะในเรื่องการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์จีน และการรุกตลาดอย่างจริงจังของ Tesla
แน่นอนว่านิสสัน ยังไม่ยอมแพ้ และพวกเขามีแผนในการนำ LEAF มาเป็นหัวหอกในการบุกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ถูกวางเอาไว้ว่าจะเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นยอดขายและสร้างโอกาสในการทำให้ นิสสันแทรกตัวกลับไปอยู่ในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าได้อีกครั้ง
LEAF ใหม่มีแน่ แต่ต้องปรับแนวทาง
LEAF ซึ่งเป็นชื่อย่อของคำว่า leading environmentally-friendly affordable family car คือ รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกที่ถูกผลิตขายในเชิงพาณิชย์ เปิดตัวออกมาปี 2009 และเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ นิสสัน ในการมองเห็นช่องทางและแนวทางที่การขับเคลื่อนของยานพาหนะส่วนบุคคลควรจะต้องเป็นและต้องไป
กับแนวคิด Nissan Energy Share นั้นนิสสันเชื่อว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีศักยภาพที่จะเป็นแบตเตอรี่สำรองไฟให้กับบ้านและสังคม ซึ่งทำให้ LEAF รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวปี 2017 เป็นมากกว่ารถยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง แต่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมกับเครื่องชาร์จไฟแบบสองทาง (Bi-directional charger) ช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากพลังงานที่อยู่ในแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยสามารถดึงพลังงานที่เหลือจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า จ่ายกลับเข้าสู่บ้าน (V2H) เมื่อมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในช่วง peak hour และเมื่อบ้านลดการใช้ไฟฟ้าลง (off-peak hour) เช่นในเวลากลางคืน ก็จะชาร์จกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงช่วยได้ยามฉุกเฉิน ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ ไฟฟ้าดับ ไม่มีพลังงานไฟฟ้า คุณสามารถเชื่อมเครื่องชาร์จไฟแบบสองทิศทางเข้ากับรถยนต์ไฟฟ้าและระบบไฟในบ้าน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์ไปใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านได้ถึง 1-2 วัน
ใน 2 รุ่นแรกที่เปิดตัว LEAF มียอดขายกว่า 650,000 คันซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้าที่เกิดก่อน และเข้ามาในยุคที่คนยังไม่สนใจรถยนต์ประเภทนี้ แต่หลังจากที่การรุกรานของ Tesla และแบรนด์รถยนต์ที่ช่วงชิงความได้เปรียบจากสเป็กที่สูงกว่า เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ราคาที่ถูกลง และมีทางเลือกของโมเดลที่หลากหลาย ทำให้ LEAF ต้องเสียส่วนแบ่งในตลาด
อย่างไรก็ตาม นิสสัน เตรียมที่จะเริ่มการผลิต LEAF เจเนอเรชั่นถัดไป โดยในเดือนพฤศจิกายน นิสสันได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่ออัพเกรดโรงงานเพื่อสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 คัน และหนึ่งในนั้นคือ LEAF และการปรับไลน์ผลิตที่โรงงานในซันเดอร์แลนด์
ตอนนี้ โปรเจ็กต์เดินหน้าไปเยอะแล้ว และจะมีการทดสอบครั้งใหญ่และการเตรียมไลน์การผลิตที่นานถึง 6 เดือน นั่นหมายว่า LEAF เจเนอเรชั่นถัดไปจะเปิดตัวออกสู่ตลาดได้เร็วที่สุดในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกอย่างดำเนินการไปอย่างราบรื่น และไม่มีอุปสรรคใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมา
ไม่ได้มีแค่ LEAF แต่ยังมีรถไฟฟ้าอีก 2 รุ่น
เช่นเดียวกับการเดินหน้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในตลาดโลกอย่างเต็มตัวมากขั้นนั้น มีแค่ LEAF เพียงรุ่นเดียวไม่น่าที่จะเพียงพอต่อการขยับตัวเพื่อแทรกในการชิงส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าที่มีความดุเดือดและรุนแรงอย่างมาก
ตามแผนการของ นิสสัน นั้น โรงงานผลิตซันเดอร์แลนด์จะเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าของพวกเขา และ นิสสัน จะเน้นการเจาะตลาดที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก และนอกเหนือจาก LEAF ก็จะมีอีก 2 รุ่นใหม่ คือ Qashqai และ Juke EV ที่จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่
สิ่งที่นักวิเคราะห์กังวลไม่ได้อยู่ที่เรื่องขององค์ความรู้และซัพพลายของ นิสสันในการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้า แต่อยู่ที่กลยุทธ์และความรวดเร็วในการพลิกตัวเพื่อสร้างโอกาส เพราะจริงอยู่ที่ตอนนี้ ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าของยุโรปและสหรัฐอเมริกายังค่อนข้างบริสุทธ์เพราะไม่มีรถยนต์พลังไฟฟ้าแบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดมากหน้าหลายตาสักเท่าไร แต่ถ้าเกิดการทะลักเข้ามา โอกาสที่จะสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดก็มีสูง
แถมในเรื่องความรู้สึกด้านความสดใหม่ในมุมของผู้บริโภคก็ไม่ได้โดดเด่นเท่าไร เพราะนิสสัน เลือกใช้ชื่อเดิมในการทำตลาด EV มากกว่าจะใช้ชื่อใหม่ ทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนกับแค่การเพิ่มรุ่นเข้ามาเท่านั้นเอง
นอกจากนั้นอีกสิ่งที่ถือว่าเป็นความท้าทายของนิสสันคือ การลดต้นทุนการผลิตลงโดยเฉพาะเรื่องของต้นทุนพลังงานสำหรับใช้ในโรงงาน เพื่อทำให้คอสต์ในด้านการผลิตลดลง มีการเปิดเผยว่านิสสัน กำลังส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนที่โรงงาน ประมาณ 20% ของการใช้พลังงานทั้งหมด (ประมาณ 250 เมกะวัตต์ต่อสัปดาห์) โดยพลังงานเหล่านี้มามาจากฟาร์มลมและโซลาร์ฟาร์มที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
นิสสัน วางแผนที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในโรงงาน แต่ไม่ได้กำหนดเวลาไว้ ซึ่งถ้าทำได้ย่อมหมายความว่า จะทำให้พวกเขาสามารถลดต้นทุนในการผลิต และสร้างความยั่งยืนในไลน์การผลิตของตัวเอง
แน่นอนว่าทั้งหมดสอดคล้องกับแผนการระยะยาวของ นิสสัน ที่เรียกว่า Nissan Ambition 2030 โดยวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 19 รุ่นภายในปีงบประมาณ 2030 นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ All-solid state ทั้งหมดที่พัฒนาขึ้นภายในบริษัทภายในปีงบประมาณ 2028 และเพิ่มรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก
ในปัจจุบัน นิสสัน มียอดขายสะสมรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นต่างๆ นับจากปี 2009 ที่เริ่มจำหน่าย LEAF อยู่ที่ 1 ล้านคัน โดยยุโรปถือเป็นตลาดใหญ่ของพวกเขา ด้วยตัวเลข 320,000 คัน ตามด้วยญี่ปุ่นและจีนเท่ากันที่ 230,000 คัน อเมริกาเหนือ 210,000 คัน ที่เหลืออีก 10,000 คันเป็นยอดขายรวมในภูมิภาคที่เหลือ
นอกจาก LEAF แล้ว นิสสัน มีรถยนต์พลังไฟฟ้าทำตลาดหลายรุ่นแต่ส่วนใหญ่จะจำกัดตัวเองอยู่ที่ในญี่ปุ่น เช่น Ariya ที่เปิดตัวเมื่อปี 2020 หรือแม้แต่ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดคือ Sakura
ถือเป็นอีกความท้าทายของ นิสสัน ในการเดินเกมรุกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้ายุคใหม่ที่รูปแบบและสภาพตลาดเปลี่ยนไปจากที่พวกเขาเคยครองตลาดเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง