xs
xsm
sm
md
lg

เปิดแผนลุย “ฮอนด้า” ทุ่มงบฯ สานฝันรุกตลาด EV

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Toshihiro Mibe ซีอีโอของ Honda Motors
ฮอนด้า น่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์อีกรายจากญี่ปุ่นที่วางแผนในการขยายแนวรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV อย่างจริงจัง และล่าสุดพวกเขาเพิ่งประกาศโปรเจ็กต์ระดับเทพในการอัพเกรดตัวเองขึ้นมาแข่งขันกับคู่ปรับในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าของจีนอย่าง BYD และ Tesla ด้วยเงินลงทุนระดับ 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 10 ล้านล้านเยน ในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าใหม่จำนวน 7 รุ่นจนถึงปี 2030

Toshihiro Mibe ซีอีโอของ Honda Motors กล่าวว่า กลยุทธ์ใหม่นี้ถูกวางอยู่บนพื้นฐานที่ฮอนด้าเชื่อว่าตัวเองสามารถแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กในระยะยาวได้ และมั่นใจว่าความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถที่จะอาศัยความนิยมเรื่องนี้โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 2020 มาเป็นจุดเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจ และพุ่งเป้าไปที่การสร้างความเข้มแข็งของตัวเองในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ฮอนด้าไม่ได้มองข้าม และวางรากฐานเอาไว้ระดับหนึ่งแล้วผ่านผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา


เพื่อให้แผนงานเป็นไปตามที่วางเอาไว้ ฮอนด้า จะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด พร้อมกับสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุม (รวมถึงการผลิตแบตเตอรี่) เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านรถยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง ซึ่งเป็นการทำงานที่ครบวงจรในระบบนิเวศน์ของตัวเอง ซึ่งตามแผนการนี้ ฮอนด้า จะสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าปี 2030 อยู่ราวๆ 5% อาจจะดูไม่ได้เยอะแยะอะไร แต่ที่สำคัญ คือ การลงทุนครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานเพื่อให้มีการพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนในธุรกิจรถยนต์พลังไฟฟ้าของฮอนด้า

รถใหม่สำหรับทำตลาดพร้อมเปิดแนวรุก

นอกจากผลผลิตที่เปิดตัวออกมางาน Auto China เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้วอย่างตระกูล YE ที่จะมีทยอยออกขายในตลาดตลอดปี 2024 แล้ว ฮอนด้ายังไม่ยอมแพ้ต่อการช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าจีน ซึ่งปัจจุบันถือเป็นตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก



ตลาดรถยนต์จีน ฮอนด้า วางเป้าหมายการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีเฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้าในการทำตลาดแบบ 100% ภายในปี 2035 และตามแผนงานระยะสั้น พวกเขาจะมีรถยนต์ใหม่จาก YE Series ทำตลาดช่วงปี 2024-2025 จากนั้นจะมีอีก 3 รุ่นใหม่เปิดตัวช่วงปี 2026 เป็นต้นไป เท่ากันว่าเพียงแค่ 3 ปี ฮอนด้า จะมีรถยนต์พลังไฟฟ้าในจีนทำตลาดถึง 7 รุ่นด้วยกัน เพื่อให้ครอบคลุมกับทุกความต้องการของลูกค้า

ขณะที่ตลาดโลกนั้น อาจจะแตกต่างกว่า แต่ก็มีความสำคัญ เพราะ ฮอนด้าจะพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าทั่วโลกผ่านทางผลผลิตใหม่ๆ และคิ๊กออฟอย่างจริงจังปี 2026 โดยเริ่มที่งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ หรือ NAIAS ปี 2026 และเมื่อถึงปี 2030 พวกเขาจะมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เป็น Global Platform ในการทำตลาดรวมแล้ว 7 รุ่นด้วยกันผ่านทางรถยนต์ที่ถูกเรียกว่า 0 Series ซึ่งจะมีทั้งเก๋ง SUV แบบต่างๆ และซาลูน


สร้างซัพพลายเชนเพื่อความยั่งยืนในตลาด EV

ส่วนของ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่อุปทาน ฮอนด้า ให้ความสำคัญไม่แพ้การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยตามแผนการดั้งเดิมนั้น ฮอนด้า เริ่มต้นด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมาตั้งแต่กลางปี 2020 จากนั้น ก็เริ่มมองหาพันธมิตรใหม่ๆ ในการลงทุนส่วนนี้ และบางส่วนเริ่มมีการดำเนินงานไปแล้ว เช่น ในสหรัฐอเมริกา โรงงานร่วมทุนของ ฮอนด้า กับ LG Energy Solution ที่จะเริ่มการผลิตด้วยความจุแบตเตอรี่สูงถึง 40 GWh ต่อปี ชุดแบตเตอรี่น้ำหนักเบาและกะทัดรัดจะถูกใช้กับรถยนต์รุ่น 0 Series

ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020 ฮอนด้า วางแผนที่จะขยายธุรกิจแบตเตอรี่เพิ่มเติมโดยการสร้างห่วงโซ่อุปทานแบบการควบรวมกิจการในแนวดิ่ง (Vertically-Integrated Supply Chain) ซึ่งก็คือการควบรวมกิจการที่เกี่ยวข้องและอยู่ในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตรงนี้สอดคล้องกับแผนของพวกเขาในการลงทุนจำนวน 2 ล้านล้านเยน ในการสร้างหน่วยงานเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเรื่องของซอฟต์แวร์ และอีก 2 ล้านล้านเยนสำหรับการสร้างองค์ความรู้การผลิตและพัฒนาแบตเตอรี่ขึ้นมาเอง โดยจะเริ่มการผลิตแบตเตอรี่ภายในบริษัทผ่านความร่วมมือกับ GS Yuasa อีกทั้งยังมีบริษัท In-House แยกต่างหากในการดูแลเรื่องการจัดหาวัสดุแบตเตอรี่ในแคนาดา


ปี 2030 ฮอนด้า ตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนของแบตเตอรี่ EV ที่ผลิตในอเมริกาเหนือลงกว่า 20% เมื่อเทียบกับต้นทุนในปัจจุบัน และพวกเขามั่นใจว่าจะสามารถขยับกำลังการผลิตภายในปี 2030 เฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้าได้มากถึง 2 ล้านคันเลยทีเดียว

ตรงนี้จะสอดคล้องกับแผนในการปรับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เพราะทางแบรนด์ตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายในปี 2030 รถยนต์พลังไฟฟ้า และรถยนต์แบบเซลล์เชื้อเพลิง หรือ FCEV จะต้องมีสัดส่วนถึง 40% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดของ ฮอนด้าทั่วโลก และจะเป็น 100% ภายในปี 2040

นั่นหมายความว่า Honda สร้างพันธะสัญญาแล้วว่า ในอีก 16 ปีข้างหน้า พวกเขาจะมีแต่รถยนต์ที่ไร้มลพิษออกขายในตลาด




กำลังโหลดความคิดเห็น