xs
xsm
sm
md
lg

Lamborghini URUS SE เปิดราคาเริ่ม 24,980,000 บาท (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

Lamborghini เปิดตัว URUS SE ครั้งแรกในไทย เป็นที่แรกใน South East Asia หลังจากเปิดตัวที่ประเทศจีนเป็นที่แรกของโลกเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ค่าตัวเริ่มต้น 24,980,000 บาท


Lamborghini URUS SE ถือเป็นรถยนต์ PHEV รุ่นแรกบนตัวถัง SUV หัวใจเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 620 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร 2,250 - 4,500 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 192 แรงม้า 483 นิวตันเมตรติดตั้งอยู่ด้านหลัง

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะมีกำลังรวมสูงสุด 800 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร ที่ 1,750 - 5,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

แบตเตอรี่ Lithium-ion with Prismatic Cells ขนาดความจุ 25.7 kWh ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD with Torque Vectoring วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกลสุด 60 km. (มาตรฐาน WLTP)

- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 3.4 วินาที
- อัตราเร่ง 0-200 km/h ภายใน 11.4 วินาที
- Top Speed ความเร็วสูงสุด 312 km/h
- วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน ความเร็วสูงสุด 135 km/h


เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนำมาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรกคือ ระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ ที่ติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพลต ซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้า และ เพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ทำหน้าที่ประสานการทำงานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น จะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทำการเบรก ทำให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ Oversteer ได้แบบ “ on demand ” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจเสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง ทั้งสองระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบ และ ปรับจูนการทำงานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบ และ ทุกสไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุด และ การตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่งหรือวิ่งตะลุยไปบนเนินทราย พื้นน้ำแข็ง หรือ ทางดิน

ดีไซน์ของ Urus SE สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ต และ ความแข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้ำหรูหรา ด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสานที่เป็นตัวแบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมควมมรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบของนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการออกแบบแนวใหม่ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ ๆ อีกมากมาย ทั้งชุดไฟหน้ำที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็น Design Signature ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจทำจากหางวัวกระทิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินีนั่นเอง ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้าย และ ตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด

การตกแต่งแบบ Ad Personam โดยนำแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Revuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floating เพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตา และ รูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว การออกแบบส่วนท้ายให้ความสำคัญกับช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ และ ปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังนำแรงบันดาลใจ มาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo


สำหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมดโดยนำรูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่
ซึ่งทำให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถและท่อลมเข้าแบบปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15%


การออกแบบส่วนหน้า ยังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านอากาศพลศาสตร์ด้านล่าง เพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและ ระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า

ล้ออัลลอยรุ่นอัปเดตใหม่พร้อมดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐานนพร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถ และ Option ให้เลือกมากมายกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนำเสนอ 2 โทนสีใหม่
- Arancio Egon (สีส้ม) ภายใน Arancio Apodis (สีส้ม)
- Bianco Sapphirus (สีขาว) ภายใน Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)


การออกแบบห้องโดยสารภายในยังคงสืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับ และ ระบบดิจิทัลภายใน” โดยภายในห้องโดยสาร มีคู่สีให้เลือกอีกกว่า 47 แบบ และ การเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-citura stitching) หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัด และ มอบการแสดงผลกราฟฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่าย และ เป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทั้งยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว และ จอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัด และ ยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS)

ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสำคัญ กับ การออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุอลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบำนตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่

นอกจากนี้ ยังนำเสนอระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วยขับต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น


แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซล เพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย และ ด้วยการใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทำงาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทำให้มีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 รูปแบบ
โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทำงานร่วมกับ ระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์ และ ศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับ การปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 km. และ ความเร็วสูงสุดที่ 130 km/h เมื่อทำความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพ และ ความสบายสูงสุดบนการทำงานที่สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และ มอเตอร์ไฟฟ้า และ แน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน

ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ได้ถึง 80% โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด
ส่วนระบบ Performance เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องสัมผัส ศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย


เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่ระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทำงานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE

ทีมผู้พัฒนายังให้ความสำคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบกสรณ์การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้น
ไปอีก

ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรกเตอร์ของระบบส่งกำลังแบบใหม่ในการสตาร์ท และ การดริฟต์ที่มันส์อย่างต่อเนื่อง


โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทำให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้อย่ำงเต็มที่ ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สำหรับระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซี (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทำให้ตัวรถมีความเสถียรสูง และ ตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว

รวมไปถึงการวิ่งบนทางขรุะขระ และ พื้นผิว ที่มีการยึดเกาะต่ำ ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทำกับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท

Specification ของ Lamborghini URUS SE Plug-in Hybrid เวอร์ชั่นไทย
- ล้อคู่หน้า ขนาด 21 นิ้ว 9.5J - ล้อคู่หลัง 21 นิ้ว 10.5J
- ยางคู่หน้า ขนาด 285/45 ZR21 - ยางคู่หลัง ขนาด 315/40 ZR18
- จานเบรก Carbon Ceramic ด้านหน้า ขนาด 440 มิลลิเมตร หนา 40 มิลลิเมตร
- จานเบรก Carbon Ceramic ด้านหน้า ขนาด 410 มิลลิเมตร หนา 32 มิลลิเมตร
- การกระจายน้ำหนัก Weight Ratio 54 : 46










กำลังโหลดความคิดเห็น