Nissan Qashqai โฉมไมเนอร์เชนจ์ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ยุโรป ปรับดีไซน์ภายนอกโฉบเฉี่ยวรอบคัน มีให้เลือกทั้งขุมพลัง Mild-hybrid และ e-POWER
Nissan Qashqai ถูกพัฒนาให้เป็นคอมแพ็กเอสยูวีขนาดรองลงมาจากรุ่น X-Trail โดยพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเจเนอเรชันที่ 3 แล้ว โดยการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้มีการเปลี่ยนดีไซน์เน้นความโฉบเฉี่ยวและทันสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ด้านหน้าที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด มาพร้อมชุดไฟหน้ารูปตัว X ที่ออกแบบให้กลมกลืนไปกับกระจังหน้า มีกลิ่นอายของ Ariya ที่มีความสปอร์ตมากขึ้น
ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED ดีไซน์แบบบูมเมอแรงอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบการส่องสว่างใหม่ ตกแต่งส่วนบนของตัวถังด้วยสีดำไปจนถึงหลังคา (เป็นออปชันเสริม) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วเป็นมาตรฐาน ส่วนเกรดบนถูกเพิ่มขนาดเป็น 19 นิ้ว หรือ 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งด้วย Alcantara (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ช่วยเพิ่มความรู้สึกหรูหราและสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เสริมด้วยรายละเอียดการตกแต่งแผงคอนโซลกลางที่นิสสันระบุว่าสะท้อนถึงงานฝีมือตามฉบับญี่ปุ่น และยังเพิ่มเติมไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่สามารถปรับเปลี่ยนสีตามความต้องการของผู้โดยสารได้
Nissan Qashqai 2025 ถือเป็นนิสสันรุ่นแรกในยุโรปที่มีการติดตั้งระบบ Google built-in เข้ากับระบบ Nissan Connect ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Google Maps ซึ่งสามารถล็อกอิน Google Account เพื่อเรียกดูและนำทางไปยังจุดหมายที่บันทึกไว้ อีกทั้งรองรับคำสั่งเสียง Google Assistant ที่เริ่มต้นพูดด้วยคำว่า "Hey Google" เพื่อตั้งค่าระบบปรับอากาศ ระบบอุ่นเบาะ ระบบนำทาง และอื่นๆ ได้มากมาย
ระบบ Google built-in ยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆ เพิ่มเติมผ่าน Google Play พร้อมทั้งมีระบบ Nissan Connected Services เพื่อสั่งงานตัวรถระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน เช่น การล็อก-ปลดล็อกประตู, เปิด-ปิดกระจกหน้าต่าง และเตือนเมื่อมีผู้บุกรุก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบกล้องมองภาพรอบคัน Around View Monitor (AVM) เพื่อรองรับการทำงานท่ามกลางสภาพแสงทุกรูปแบบ พร้อมฟังก์ชัน 3D ที่สามารถแสดงภาพตัวรถภายนอกได้ถึง 8 มุมมอง รวมถึงฟีเจอร์ "Invisible hood view" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นจุดอับสายตาบริเวณฝากระโปรงด้านหน้าได้อีกด้วย
Nissan Qashqai 2025 โฉมไมเนอร์เชนจ์ถูกปรับปรุงการทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking ที่สามารถตรวจจับวัตถุภายนอกได้อย่างละเอียดแม่นยำและให้การตอบสนองรวดเร็วกว่าเดิม หรือระบบ Intelligent Speed Assistance ที่สามารถปรับความเร็วของรถโดยอัตโนมัติตามป้ายจำกัดความเร็วและข้อมูลจากสัญญาณจีพีเอส เป็นต้น
ด้านขุมพลังยังคงมีให้เลือกทั้งเบนซิน Mild-hybrid ขนาด 1.3 ลิตร และ e-POWER ที่อาศัยการทำงานของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ เพื่อปั่นไฟส่งไปยังมอเตอร์กำลังสูงสุด 140 kW (190 แรงม้า) ควบคู่ไปกับแบตเตอรี่ขนาดความจุ 1.8 kWh
นิสสันยังเปิดเผยด้วยว่านับตั้งแต่เริ่มติดตั้งขุมพลัง e-POWER ลงใน Qashqai และ X-Trail ที่ยุโรปเมื่อเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา ปัจจุบันสามารถทำยอดจำหน่ายสะสมเฉพาะรุ่น e-POWER ไปได้มากกว่า 100,000 คันแล้ว แสดงถึงการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวยุโรป