หลังจากที่รถไฟฟ้าจีนเข้ามาถล่มตลาดรถเมืองไทยกันอย่างสนุกสนาน อยู่ดีดี ฮอนด้าก็ประกาศเปิดสายการผลิตรถ ฮอนด้า e:N1 เอสยูวี พลังงานไฟฟ้า 100 % คันแรกในไทย แถมยังเป็นรถญี่ปุ่นแบรนด์แรกที่ผลิตรถยนต์อีวี ณ โรงงานฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี อีกด้วย
แน่นอนการมาของ ฮอนด้า e:N1 สร้างความตื่นเต้นให้กับสาวกฮอนด้าไม่มากก็น้อยเพราะถือเป็นตัวเลือกหนึ่งหากผู้บริโภคไม่อยากใช้รถไฟฟ้าจากแบรนด์จีน แต่หลังจากเปิดตัว ฮอนด้าก็ทำให้คนไทยผิดหวังเพราะรถคันนี้ไม่ได้ผลิตมาเพื่อขายแต่นำมาให้เช่าเท่านั้น
แม้ฮอนด้าจะเปิดให้เช่าก็ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะ ฮอนด้า e:N1 บนเส้นทางกรุงเทพฯสู่เขื่อนขุนด่านปราการชน จ.นครนายก รวมระยะทางไป-กลับกว่า 220 กิโลเมตร
ก่อนที่จะลองขับ มาสำรวจดีไซน์ตัวรถกันสักนิด การออกแบบหน้าตาดูดี เก๋ ไม่ได้ล้ำอะไรมากมาย เรียบ ๆ สวยดี กระจังหน้าดีไซน์ใหม่เรียบหรูที่เชื่อมต่อกับไฟหน้า พร้อมจุดชาร์จแบตเตอรี่อยู่ด้านหน้า ซึ่งตรงนี้ดูแล้วน่าจะเป็นจุดที่อันตรายหากเกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันมันก็สะดวกต่อการชาร์จ เพราะเสียบเข้าที่จอดก็เปิดฝ้าชาร์จได้เลย อย่างไรก็ตามแล้วแต่คนจะคิด เพราะมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับหัวชาร์จตัวนี้เป็นแบบ DC CCS2 และแบบ AC Type 2 พร้อมไฟสีต่าง ๆ แสดงสถานะขณะกำลังชาร์จไฟในรูปแบบเฉพาะตัว นอกจากนี้ ฮอนด้า e:N1 มาพร้อมกับโลโก้ H Mark ใหม่ สไตล์พรีเมียมมินิมอล ที่มาพร้อมกับคำว่า Honda ภายใต้ฟอนต์ใหม่ที่ด้านหลังของตัวรถ
มาสำรวจห้องโดยสารกันบ้างต้องบอกว่า ภายในกว้างขวางมาก นั่งสบาย แถมมีไฟสร้างบรรยากาศภายในสีฟ้า รู้สึกสบายตาดี บวกกับพื้นที่สัมภาระด้านท้ายสามารถพับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบ 60:40 เก็บของได้เยอะ ขณะที่เบาะหนังดีไซน์สปอร์ตสีดำตกแต่งด้วยขอบสีขาวและด้ายสีฟ้า ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ของฮอนด้าบอกว่า ได้มีการปรับจูนอัตราเร่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะทำให้ผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังไม่เกิดอาการเวียนหัวระหว่างการขับขี่ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง จากการนั่งมาไม่มึนหัว เวียนหัว แม้จะใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นก็ตาม
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 15.1 นิ้ว แบ่งเป็น 3 ส่วน ถือเป็นจุดเด่นเลย ใช้งานง่าย ภาพคมชัด และใช้ได้ทั้ง แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว ช่องเชื่อมต่อ USB จานวน 4 ช่อง ด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง (USB-A 1 ช่อง ในช่องหน้า และUSB-C ในช่องหน้า 1 ช่อง และช่องหลัง 2 ช่อง) อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา
ฮอนด้า e:N1 มากับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบ 3-in-1 (Motor, Power Drive Unit และ Gearbox ) ซึ่งทำงานโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อนหลักที่ผสานการทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 68.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์หรือ 204 แรงม้า (PS ) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 500 แรงม้า (ตามาตรฐาน NEDC) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำงานกับระบบเกียร์ไฟฟ้าแบบสวิตซ์ที่ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เพียงกดปุ่มที่แผงเกียร์ที่บริเวณคอนโซลกลาง
แม้แบตเตอรี่จะห้อยต่ำลงมา แต่ฮอนด้าบอกว่ามีเคสป้องกันที่ใต้ท้องเป็นเหล็กและข้าง ๆเป็นไฟเบอร์กลาสหุ้มอยู่ และที่สำคัญลองเอารถรุ่นนี้ไปแช่น้ำระดับความสูง 39 เซนติเมตร นาน 1 ชม. มาแล้ว ไม่มีปัญหา
ซึ่งต้องยอมรับว่าจากการได้ทดลองขับชอบมาก อัตราเร่งมาแบบสมูด ๆ ไม่กระชากเหมือนรถไฟฟ้าจีน ยิ่งเหยียบคันเร่งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่ติดขัด มาเรื่อย ๆ ทางฮอนด้าเคลมไว้ว่าความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ลองเร่งดูในช่วงความเร็วสูง ช่วงล่างถูกเซ็ทมาดี ไม่ได้ย้วย ห้องโดยสารเงียบ ฟิลลิ่งในการขับดีมาก เหมือนขับรถใช้น้ำมันทั่วไป
บอกได้เลยว่าใครได้ลองขับแล้วจะติดใจ ฮอนด้าทำรถไฟฟ้าออกมาได้ดีมาก แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าฮอนด้า ยังคงพัฒนาต่อไปให้สมบูรณ์ทีสุดก่อนจะออกมาขายอย่างจริงจัง เพราะชื่อชั้น “ฮอนด้า” ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ยังไงคงต้องอดใจรอสักนิด เพราะถ้าขายราคาน่าจะโดดไป 2 ล้านกว่าบาท ผู้บริโภคคงคิดหนัก
ฮอนด้า e-N1 มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) อีกทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information - BSI) ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor - CTM) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เซนเซอร์กะระยะ 8 จุด (8-position Parking Sensors)
รวมถึงฟังก์ชั่นการทำงานหลักของ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ดังนี้ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS),ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS),ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW),ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ,ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ,ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ฮอนด้า อีเอ็น:วัน (Honda e:N1) มาพร้อม สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) พร้อมเปิดให้ลูกค้าขับขี่ด้วยการเช่าใช้ ผ่านบริษัทรถเช่าชั้นนำ ค่าเช่าเริ่มต้นที่ 29,000 บาท/ต่อเดือน* พร้อมบริการที่ครอบคลุมเพื่อความอุ่นใจตลอดการเช่าใช้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้แก่
• ฟรีประกันภัยตลอดการใช้งาน
• นำรถเข้าตรวจเช็กระยะและบำรุงรักษา ทุก ๆ 10,000 กม. หรือ 6 เดือน อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน ณ ศูนย์บริการฮอนด้าทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาสัญญาเช่า
• เปลี่ยนยางรถยนต์ ทุก 50,000 กม. หรือ 30 เดือน อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน เปลี่ยนแบตเตอรี่ 12V ทุก 12 เดือน ณ ศูนย์บริการฮอนด้าทั่วประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ รายละเอียดและเงื่อนไขการเช่าเป็นไปตามที่บริษัทรถเช่ากำหนด
รายชื่อบริษัทรถเช่าที่ร่วมรายการ
1. บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท ซูมิโตโม มิตซุย ออโต้ ลิสซิ่ง แอนด์ เซอร์วิส (ไทยแลนด์) จำกัด
3. บริษัท ไทย วี.พี.คอร์ปอเรชั่น จำกัด
4. บริษัท ไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง จำกัด
5. บริษัท พารากอน คาร์ เรนทัล จำกัด
6. บริษัท ไพร์ม คาร์เร้นท์ จำกัด
7. บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)
8. บริษัท มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล จำกัด
9. บริษัท เวิลด์คลาส เรนท์ อะ คาร์ จำกัด
10. บริษัท เวิลด์เบสท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
11. บริษัท เอแอลดี เอ็มเอชซี โมบิลิตี้ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด
12. บริษัท ช.พัฒนาคาร์เรนท์ จำกัด
ลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/en1
หมายเหตุ
*ค่าเช่าเริ่มต้นสำหรับการเช่า 48 เดือนหรือมากกว่า
*ราคาเช่าไม่รวม VAT 7%
*ราคาเช่าอาจแตกต่างกันในแต่ละบริษัทรถเช่า