XPeng G6 เอสยูวีคูเป้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% เตรียมเผยโฉมในไทยที่งานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ราคาเริ่มต้น 209,900 หยวน หรือประมาณ 1 ล้านบาทต้นที่จีน
XPeng G6 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ชูจุดขายด้วยรูปทรงแบบคูเป้เอสยูวี พร้อมแพล็ตฟอร์มไฟฟ้า 800V SiC (Silicon Carbide) ที่รองรับการชาร์จได้เร็วเป็นพิเศษ โดยหากชาร์จผ่านเครือข่ายสถานีซูเปอร์ชาร์จเจอร์ของ XPeng เพียง 10 นาที จะได้ระยะทางขับขี่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 300 กิโลเมตร
ปัจจุบัน XPeng G6 ในตลาดประเทศจีนแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยหลัก ได้แก่ 580 Long Range ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลังจำนวน 1 ตัว กำลังสูงสุด 218 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 580 กิโลเมตรเมื่อชาร์จเต็ม (ตามมาตรฐาน CLTC)
ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น 755 Super-Long Range ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเดียวกัน แต่เพิ่มขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เหลือ 5.9 วินาที และเพิ่มระยะทางขับขี่ไกลขึ้นเป็น 755 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้ง
ส่วนรุ่นท็อปสุดเป็นรุ่น 700 4WD Performance ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหน้าและหลังข้างละ 1 ตัว ให้กำลังสูงสุดรวม 358 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 660 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่ไกลสุด 700 กิโลเมตร โดยทั้ง 3 รุ่นสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 202 กม./ชม.
โครงสร้างตัวถังของ XPeng G6 ถูกพัฒนาให้มีการกระจายน้ำหนักหน้าและหลังแบบ 50:50 พร้อมด้วยเทคโนโลยีขึ้นรูปโครงสร้างด้วยอะลูมิเนียม และการติดตั้งแบตเตอรี่แบบ CIB (Cell Integration Body) ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างเป็นพิเศษ ขณะที่ชุดแบตเตอรี่เองถูกพัฒนาให้สามารถทนความร้อนได้สูงสุดถึง 700 องศาเซลเซียส และผ่านมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 ซึ่ง XPeng ระบุว่าสูงกว่าที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่
ด้านความปลอดภัยได้มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ที่เรียกว่า XNGP ทำงานผ่านเซ็นเซอร์รอบคันกว่า 31 ตัว โดยจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็น LiDARs จำนวนถึง 2 ตัว ทำงานบนชิปความเร็วสูง NVIDIA DRIVE Orin-X เพื่อให้ตัวรถสามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบคันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ขณะที่ห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความกว้างขวางเป็นพิเศษโดยเฉพาะพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 14.96 นิ้ว ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Xmart OS4.0 ที่ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm Snapdragon SA8155P ซึ่งสามารถโต้ตอบผู้ใช้งานได้คล้ายกับ GPT รวมถึงมีฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียงที่ทำงานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถอ่านคำสั่งได้ตลอดเวลา และยังใช้งานได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย