เจนีวา มอเตอร์โชว์ หนึ่งในงานแสดงรถยนต์ระดับโลกที่สะท้อนถึงความนิยมในเวทีมอเตอร์โชว์ทั้งจากผู้เข้าชมงานและผู้มาออกงานกำลังพุ่งลงเหว เหตุจากแบรนด์รถยนต์ที่เคยเข้าร่วม 40 กว่าราย เหลือเพียง 12 ราย ผู้เข้าชมงานไม่ถึง 200,000 คน จากเดิมที่มีอยู่ในระดับหลักล้านคน นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของงานมอเตอร์โชว์โดยทั่วไปหรือไม่ ? คำตอบคือ อาจจะไม่เลยซะทีเดียว เพราะใน อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส ยังมีการจัดงานอยู่ แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะการเข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์มีประสิทธิภาพมากกว่า และไม่จำเป็นที่จะต้องเทงบมหาศาลเพื่อการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาโชว์ให้เห็นเหมือนกับสมัยก่อนที่โลกยังแคบ และช่องทางการเข้าถึงมีอยู่ไม่กี่ทาง
หลังจากที่หายไปหลายปีนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อปี 2020 ในที่สุดงานแสดงรถยนต์ระดับโลกอย่าง “เจนีวา มอเตอร์โชว์” ได้กลับมาจัดอีกครั้ง แต่แน่นอนว่า ภายใต้บริบทที่ความนิยมในเวทีมอเตอร์โชว์ระดับโลกหลายแห่งทั้งจากผู้เข้าชมงาน และผู้มาออกงาน กำลังพุ่งลงเหวอย่างระดับต่ำสุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความไม่เหมือนเดิมของเจนีวา มอเตอร์โชว์ซึ่งทำให้งานที่เคยได้รับการยอมรับว่าคือ 1 ใน 5 มอเตอร์โชว์ที่มีความสำคัญของโลกเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อ
เจนีวา มอเตอร์โชว์ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1905 และถือเป็นงานมอเตอร์โชว์แรกของฝั่งยุโรปที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ต่อต้นมีนาคม ซึ่งที่นั่นกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูการเปิดตัวสินค้าใหม่เพราะหมดหน้าหนาวและเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ที่ผ่านมา แม้ว่าเจนีวาจะไม่ใช่เมืองที่เป็นศูนย์กลางของการผลิตรถยนต์ หรือสวิตเซอร์แลนด์เองก็ไม่ใช่ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเชิงของยอดขายในยุโรป แต่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์กลับได้รับความสำคัญจากผู้ผลิตรถยนต์ทั่วยุโรป และหลายรายเข้ามาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
หลายคนอาจจะบอกว่าการเกิด COVID-19 คือ จุดเริ่มต้นแห่งหายนะของงานโชว์หรือเทรดแฟร์ทั้งหลายที่จัดขึ้นออนไซต์ หรือออนกราวน์ แต่เอาเข้าจริงๆ สัญญาณที่งานเหล่านี้ได้รับความสนใจจากแบรนด์รถยนต์กลับมีมาก่อนหน้านั้น และหลายแบรนด์เองก็เคยประกาศว่าจะลดบทบาทและการเข้าร่วมงานโชว์ เพราะมองเห็นว่าการเข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์มีประสิทธิภาพมากกว่า และไม่จำเป็นที่จะต้องเทงบมหาศาลเพื่อการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาโชว์ให้เห็นเหมือนกับสมัยก่อนที่โลกยังแคบ และช่องทางการเข้าถึงมีอยู่ไม่กี่ทาง
การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นแค่จุดแตกหักที่ทำให้งานเหล่านี้ต้องตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ และสำหรับเจนีวา มอเตอร์โชว์หยุดการจัดงานไป 4 ปีเต็ม แต่ในปี 2023 ทางผู้จัดพยายามคัมแบ็คด้วยการจัดงานในช่วงปลายปีโดยใช้เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์เป็นพื้นที่ในการจัดงาน แต่สุดท้ายก็เป็นแค่งานเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไร ก่อนที่พวกเขาจะคัมแบ็คเต็มตัวในปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
การจัดงานมีขึ้นในระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคมที่ผ่านมา และยังใช้สถานที่จัดงานเดิมคือ Palexpo ที่อยู่ตรงข้ามสนามบินนานาชาติเจนีวา และเป็นพื้นที่สำหรับจัดงานแสดงนาฬิกาอย่าง Watches & Wonders ในปีนี้มีแบรนด์เข้าร่วม 12 รายจากเดิมมากกว่า 40 ราย ที่เป็นแบรนด์รถยนต์ และที่เหลืออีกราวๆ 20 รายเป็นสำนักแต่ง สำนักออกแบบ หรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่รถยนต์ใหม่มีเพียงแต่ 10 รุ่นจากเดิมที่มีนับร้อยรุ่นทั้งในรูปแบบไมเนอร์เชนจ์ โมเดลเชนจ์ World Premier หรือ European Premier
โดยสัญญาณที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงลบเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว เมื่อรายชื่อผู้ผลิตทั้งหมด รวมถึงแผนผังของงานได้รับการเผยแพร่ในเดือนมกราคม 2024 มีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เพียง 5 รายเท่านั้นที่ยืนยันการเข้าร่วม ได้แก่ Renault, Dacia, MG, Lucid และ BYD รวมถึงแบรนด์สตาร์ทอัพและกลุ่มเฉพาะกลุ่มที่เลือกไว้ เพื่อเติมเต็มพื้นที่ รถยนต์ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานในปีนี้ คือ Dacia Duster, Denza N7, Foxtron Model B, Lucid Gravity, MG-3 และ Renault 5 E-Tech
เราเคยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมอเตอร์โชว์ระดับโลกหลายรายการ ทั้งในญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับที่เคยเป็นในอดีต แถมแนวคิดในการจัดงานยังต้องถูกปรับเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับบรรดาแบรนด์ ทั้งหลายที่เคยเป็นคู่ค้าของผู้จัดงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาผู้เข้าชมงานด้วย เทรนด์และความนิยมของพวกเขาเริ่มมีลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปีนี้มีจำนวนผู้เข้าชมงานไม่ถึง 200,000 คนจากเดิมที่มีอยู่ในระดับหลักล้านคน
นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของงานมอเตอร์โชว์โดยทั่วไปหรือไม่ ? คำตอบคือ อาจจะไม่เลยซะทีเดียว เพราะงานแสดงในอเมริกาเหนือยังคงจัดขึ้น เช่นเดียวกับการแสดงในจีน และงาน Japan Mobility Show ปี 2023 ที่โตเกียวก็แทบจะรู้สึกเหมือนได้กลับมาอีกครั้งสำหรับรูปแบบงานมอเตอร์โชว์สุดคลาสสิก แต่สำหรับฝั่งยุโรปดูเหมือนจะหนักกว่าอย่างชัดเจน เพราะหลายงานได้กลับมาจัด แต่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งปารีส และแฟรงค์เฟิร์ต ที่ในตอนนี้เปลี่ยนเป็น IAA Mobility และจัดงานที่เมืองมิวนิก เพียงแต่ในกรณีของเจนีวาดูจะหนักกว่า และหนักที่สุดในแง่ของรูปแบบการจัดงาน
Stefan Bratzel ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสวิตเซอร์แลนด์ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางเว็บไซต์ Swissinfo.ch ระบุว่าความเงียบเหงาของการจัดงานในปีนี้ของเจนีวา มอเตอร์โชว์ คือ ‘ต้นทุนสูงและผลประโยชน์ไม่ตรงกันอีกต่อไป ผู้ผลิตรถยนต์กำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่าพวกเขาใช้เงินไปที่ไหนที่ดีและได้ผลมากกว่านี้’
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์และการเข้าถึงลูกค้าของแบรนด์รถยนต์เริ่มเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน พวกเขาทุ่มกับการลงทุนในแพล็ตฟอร์มตัวเอง ‘หลายปีก่อน รถยนต์มีความเกี่ยวข้องกับสถานะและสไตล์ของผู้คน นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและมีพลวัตรมาก ซึ่งการตลาดก็ต้องตามให้ทัน ในขณะที่ตลาดรถยนต์ระดับหรู พวกเขาเลือกการสนับสนุนกอล์ฟ การแข่งขันเทนนิส และการแข่งเรือ เพื่อปรับปรุงโปรไฟล์ของแบรนด์ เช่นเดียวกับการออกมาแสดงตัวตนที่งานมอเตอร์โชว์ขนาดใหญ่ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ต่างๆ มากมายเริ่มมองไม่เห็นความสำคัญของวิธีเก่าๆ แบบนี้แล้ว และบางแบรนด์ก็มองหาแพลตฟอร์มของตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว’
หลายคนเชื่อว่าเจนีวาจะยังมีต่อไป แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และการที่พวกเขาย้ายไปจัดที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์เป็นฐานที่มั่นใหม่นั้น แสดงให้เห็นว่า โอกาสที่เราจะเห็นงานเจนีวา มอเตอร์โชว์อีกครั้งในปี 2025 ยังมีเครื่องหมายคำถามลอยอยู่ทั่วไป