ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดรถยนต์ทั่วโลกกำลังมุ่งไปที่รถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ซึ่งนั่นทำให้ตลาดได้พบกับแบรนด์รถยนต์พลังไฟฟ้าหน้าใหม่และชื่อไม่คุ้นที่ถูกส่งออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเรื่อง เช่นเดียวกับแบรนด์รถยนต์จากโลกเก่าที่พยายามผลักดันตัวเองเข้าสู่ตลาดกลุ่มนี้ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามากมายในตลาด แต่จากการเปิดเผยตัวเลขยอดขายในปี 2023 นั้นพบกว่า กลับมีเพียงแค่ 2 แบรนด์เท่านั้นที่ผูกขาดตลาดประเภทนี้ นั่นคือ ผู้ที่มาก่อนกาลอย่าง Tesla และน้องใหม่มาแรงอย่าง BYD จากจีน โดยว่ากันว่าในปีที่แล้ว จากยอดขายรถยนต์แบบเสียบปลั๊ก (รวมทั้ง PHEV และ BEV) ทั่วโลก 13.6 ล้านคัน มากถึง 35% ของส่วนแบ่งตลาดถูกครองโดย 2 แบรนด์นี้
ตลาดบูมอย่างมากในปี 2023
ในปี 2023 ตลาดรถยนต์แบบเสียบปลั๊ก ทั้งในรูปแบบไฮบริดแบบ PHEV และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV มีการขยายตัวอย่างมาก และจากยอดขายจำนวน 13.6% ล้านคันในแง่ภาพรวมของทั้ง 2 ประเภท มีการยืนยันว่า 9.5 ล้านคัน หรือ 69.8% ของยอดขยายรวมเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV หรือคิดเป็น 11% ในสัดส่วนของยอดขายรถยนต์ทุกประเภท
จากการเปิดเผยระบุว่าท็อปไฟว์ในด้านตัวเลขยอดขายของรถยนต์เสียบปลั๊กของโลกนั้น คือ BYD, Tesla, Volkswagen Group, Geely-Volvo และ SAIC ซึ่งทั้งหมดครองส่วนแบ่งยอดขายถึง 75% จากตัวเลข 13.6 ล้านคัน โดยขยับจาก 55% ของปี 2022 โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ การครองตลาดของ BYD ที่เพิ่งเริ่มเกมรุกทั่วโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 45% เป็นตัวเลขที่รวมกันของแบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในตลาด
มีการยืนยันว่า BYD มียอดขายในปี 2023 อยู่ที่ 3 ล้านคันโดยประมาณ หรือครองส่วนแบ่ง 22% จากตลาดแบบเสียบปลั๊ก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่ง 18.4% ในปี 2022 ขณะที่ Tesla เจ้าตลาดเดิมนั้น อยู่ในอันดับ 2 ด้วยตัวเลขยอดขาย 1.8 ล้านคัน หรือคิดเป็น 13.2% ในแง่ส่วนแบ่งยอดขาย เพิ่มขึ้นจากปี 2022 เพียง 0.2% เท่านั้น
เมื่อบวก 2 เจ้านี้เข้าด้วยกันแล้ว เท่ากับว่าทั้งคู่ครองยอดขายตลาดรถยนต์เสียบปลั๊กถึง 35.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2022 อยู่ 3.8% และเป็นผู้เล่นหลักของตลาดรถยนต์เสียบปลั๊กในตอนนี้ไปแล้ว
นับเฉพาะ EV ทาง Tesla ก็ยังครองตลาด
ถ้ามองในเรื่องตัวเลขของรถยนต์ 2 ประเภทรวมกัน คือ PHEV และ BEV ทาง BYD ครองอันดับ 1 เพราะ Tesla เองขายแต่รถยนต์พลังไฟฟ้า ดังนั้น เมื่อนับเฉพาะรถยนต์ BEV เพียงอย่างเดียวแล้ว ทาง Tesla ก็ยังเป็นเจ้าในตลาดประเภทนี้ ด้วยยอดขายมากถึง 1.8 ล้านคัน ครองส่วนแบ่ง 19.1% สำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV (เพิ่มขึ้นจาก 18.2% ในปี 2022)
ขณะที่ BYD มีตัวเลขยอดขายอยู่ที่ 1,570,388 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาด BEV อยู่ที่ 16.5% (เพิ่มจาก 12.6% ในปี 2022) และเมื่อนับรวมเฉพาะรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV ทั้ง 2 ค่ายมีส่วนแบ่งในตลาดอยู่ที่ 35.6% เพิ่มขึ้นจาก 30.8% ในปี 2022
ส่วนอันดับ 3 และ 4 คือ SAIC และ Volkswagen ด้วยตัวเลข 748,159 และ 742,703 คัน หรือคิดเป็น 7.9% และ 7.8% (ตามลำดับ) สำหรับส่วนแบ่งในทางตลาด
BYD สยายปีก เตรียมเปิดตลาดสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเปิดเกมรุกอย่างรวดเร็วของ BYD โดยเฉพาะการเบนเข็มมาที่ตลาดใหญ่อย่างอเมริกาเหนือ หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการรุกตลาดบ้านตัวเอง และเอเชีย โดยในตอนนี้มีการยืนยันแล้วว่า BYD วางแผนในการตั้งโรงงานประกอบรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid และรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV โดยเล็งไปที่ประเทศเม็กซิโก
การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ BYD ในเม็กซิโกและละตินอเมริกา ซึ่งเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่ามากสำหรับโรงงานในเม็กซิโกคือการใช้เป็นจุดเริ่มต้นเข้าสู่ตลาดอเมริกา ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังดิ้นรนหรือยกเลิกแผนรถยนต์พลังไฟฟ้าของตน เนื่องจากความต้องการมีความไม่แน่นอนมากกว่าที่คาดไว้
ในปัจจุบัน BYD เริ่มทำตลาดในเม็กซิโกแล้ว และการตั้งโรงงานที่ประเทศนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถขยายแนวรุกเข้าสู่ตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาได้ และในตอนนี้แผนทุกอย่างได้ถูกวางเอาไว้แล้ว โดยมีการพิจารณาถึงตำแหน่งที่ตั้งของโรงงานเพื่อใช้เป็นฮับสำหรับการส่งออกรถยนต์มายังตลาดสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ซึ่งคาดว่าอาจจะอยู่ที่ Nuevo Leon ทางตอนเหนือของเม็กซิโก หรือไม่ก็คาบสมุทร Yucantan โดยการที่ BYD และรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์จากจีนยังไม่สามารถเจาะเข้าสู่ตลาดแห่งนี้ได้ก็เพราะว่า สหรัฐอเมริกามีการเก็บพิกัดภาษีรถยนต์ที่ผลิตจากเมืองจีนถึง 27.5% แต่รถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกไม่ต้องเสียภาษีลักษณะเดียวกัน แม้ว่าจะมาจากบริษัทที่จีนเป็นเจ้าของก็ตาม
พูดง่ายๆ ก็คือ BYD เป็นผู้นำในด้านการขายรถยนต์พลังไฟฟ้าและเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งราคารถยนต์ของพวกเขาอยู่ในระดับที่เย้ายวนมาก และตัดราคาจากคู่แข่งที่มีสเปกเดียวกันอย่างรุนแรง และโรงงานในเม็กซิโกจะเปิดประตูระบายให้กับรถยนต์เหล่านั้นที่แข่งขันกันเพื่อผู้ซื้อกับ Ford, General Motors, Toyota, Nissan และ Honda
การตั้งโรงงานและศูนย์การพัฒนารถยนต์ของ BYD ครั้งนี้ถือว่ามีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้ประกาศตั้งโรงงานและศูนย์วิจัยในลักษณะเดียวกันนี้ที่บราซิล ฮังการี่ และประเทศไทย
ถ้าทุกอย่างเริ่มขึ้น เชื่อเลยว่า ยอดขายรถยนต์ของ BYD จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพวกเขาจะสามารถแซง Tesla เพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างไม่ยาก