ภาพเคลื่อนไหวของรถยนต์แบรนด์จีนที่กรีธาทัพเข้ามาบุกตลาดไทยในช่วงนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์หลายด้าน โดยเฉพาะผู้แทนจำหน่ายหลายยี่ห้อพยายามหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจด้วยการเปลี่ยนมาจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเพราะด้วยตัวเลขที่จบในปี 2566 อยู่ที่ 75,690 คัน และนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าในปีนี้ตัวเลขจะสูงถึง 100,000 -150,000 คัน ถือเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่ง
แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นรอยต่อของตลาดรถยนต์ในบ้านเรามีผู้จัดจำหน่ายบางรายที่ยังยึดมั่น มั่นใจ ต่อแบรนด์เดิมและพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน และหนึ่งในนั้นมี “มิตรแท้ มอเตอร์” ที่ตัดสินใจเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “นิสสัน” เพิ่มอีกหนึ่งแบรนด์ ในจังหวัดชุมพร แม้จะมีกระแสข่าวว่าหลายรายถอนตัวไปก็ตาม
เรามาลองฟังความคิดเห็นของ ณัฐกฤษณ์ จอมเกตุ – ปอนด์ กรรมการผู้จัดการ มิตรแท้ มอเตอร์ ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูล “จอมเกตุ” กันว่าคนหนุ่ม ไฟแรง คนนี้ มีมุมมองอย่างไรต่อการทำธุรกิจในยุคนี้
อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของ “มิตรแท้”
มิตรแท้ มอเตอร์ ดำเนินธุรกิจมา 66 ปีแล้ว จุดกำเนิดของเราไม่ได้อยู่ที่ชุมพร แต่เริ่มที่หาดใหญ่ โดยคุณพ่อทำธุรกิจประเภทจักรกลการเกษตร เป็นรถแทรกเตอร์ คูโบต้า ,เครื่องยนต์ฮอนด้า จากหาดใหญ่ก็ย้ายมาสุราษฎร์ธานี ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์จนสุดท้ายเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลังดำเนินธุรกิจมาครึ่งทาง โดยธุรกิจรถยนต์คุณแม่เป็นคนบริหารส่วนคุณพ่อยังทำธุรกิจประเภทจักรกลการเกษตร เหมือนเดิม
หลังจากนั้นคุณแม่เริ่มขยายธุรกิจมาจังหวัดชุมพร โดยเริ่มจำหน่ายรถยนต์ “ฟอร์ด” ก่อนแบรนด์แรกและตัวผมเองก็ได้รับหน้าที่ให้ดูแลธุรกิจรถยนต์ในจังหวัดนี้ และปี 2021 มิตรแท้ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถ “มิตซูบิชิ” จนเมื่อต้นปีที่แล้วได้ตัดสินใจร่วมงานกับ “นิสสัน” เพิ่มขึ้นอีกราย ทั้งนี้เพื่อดูแลลูกค้าในจังหวัดชุมพร และจังหวัดใกล้เคียง มีพนักงานรวม 162 คน
สถานการณ์ที่เลวร้ายทำไมเป็นมาขายนิสสัน
ผมมองว่าเป็นการขยายความแข็งแกร่งของธุรกิจมากกกว่า เพราะว่ามิตรแท้ทำธุรกิจรถยนต์ในชุมพร 26 ปีแล้ว คิดว่าเราได้ทำงานร่วมกับนิสสัน จะทำให้แบรนด์ของมิตรแท้ แข็งแกร่งในจังหวัดชุมพร มากยิ่งขึ้น บวกกับทางนิสสันต้องการพาร์ทเนอร์ในการทำตลาดชุมพรเช่นกัน
ขณะเดียวกันผมก็มองว่าเป็นการเติบโตของธุรกิจมิตรแท้ด้วย ที่สำคัญ “แบรนด์นิสสัน” เป็นที่ยอมรับจากคนชุมพรเพราะนิสสันทำตลาดมานาน มีกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในชุมพรมาก ผมเห็นโอกาสตรงนี้ตั้งแต่ย้ายมาชุมพร เลยอยากมีส่วนที่อยากดูแลคนชุมพร ที่สำคัญแบรด์นิสสันเองมีสินค้าหลายรุ่น หลายแบบ ให้เลือก ไม่ได้มีเฉพาะรถปิกอัพ
สิ่งที่นิสสัน สนับสนุน สู้กับคู่แข่งได้ไหม
ได้แน่นอน เพราะตั้งแต่เปิดมา ทางบริษัทแม่การสนับสนุนมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการทดสอบรถ อบรมลูกค้า เรามองว่า การทำธุรกิจรถยนต์ มันไม่ใช่สร้างโชว์รูมแล้วเสร็จ ต้องดูแลกันยาว หากบริษัทแม่ดูแลตัวแทนจำหน่ายดี ตัวแทนก็สามารถดูแลลูกค้าได้ดีเช่นกัน
ที่สำคัญอีก 2 แบรนด์ ที่มิตรแท้ เป็นตัวแทนจำหน่ายไม่มีรถยนต์นั่ง แต่นิสสันมี ฉะนั้นลูกค้ามาที่นี้จะเจอ 3 แบรนด์ สามารถเลือกสินค้าได้ตามความต้องการ และแต่ละแบรนด์มีจุดขายที่แตกต่างชัดเจน
อยากให้นิสสัน “ Support” อะไรเพิ่มเติม
ถ้าผมขอ ขอเรื่อการปรับกลยุทธ์ การตลาด โปรโมชั่น ให้รวดเร็ว เพื่อให้แข่งขันกับตลาดได้ไวขึ้น เพราะทุกวันนี้แบรนด์นิสสัน ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอยู่แล้ว
เราเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ไม่มีโชว์รูม ไม่ต้องลงทุนสร้าง ก็ขายรถได้ แบรนด์รถที่ไม่เคยลดราคาลง ก็หั่นราคาสู้ แผนงานที่เคยวางไว้ 3 ปี 5 ปี นานไปถ้านำมาใช้จะไม่ทัน คงต้องมีการปรับแผนกันทุกไตรมาส เพราะการแข่งขันในตลาดตอนนี้ต้องอาศัยความรวดเร็ว ประกอบด้วย
ปัจจุบัน นิสสัน มีทั้งรถน้ำมัน รถไฮบริด ครบ ลูกค้าสามารถเลือกได้ แต่อย่างไรถ้ามีรถไฟฟ้าเพิ่มมาอีกก็จะดีมาก เพราะตอนนี้เรามีคู่แข่งเข้ามาในตลาดค่อนข้างเยอะ
อีกเรื่องหนึ่งคือ นิสสันไม่ Forecast ตัวแทนจำหน่ายว่าต้องขายให้ได้จำนวนมาก และไม่ต้องสต็อกรถเยอะ เนื่องจากนิสสันมีการวางแผนกำลังการผลิตดี และ Support ได้ดี ตัวแทนจำหน่ายอยากได้รถอะไร ก็สั่งไปได้เลย ให้สินค้ามาถึงลูกค้ามีความสดใหม่ ไม่ได้นำรถค้างสต็อกมาขาย
ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเท่าไร
ปีนี้ยอดขายรวม 3 แบรนด์ 1500 คัน ปีที่แล้วค่อนข้างหนัก แต่ทุกแบรนด์ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด สำหรับปีนี้มีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีก การแข่งขันยิ่งดุเดือด และปัญหาเรื่องไฟแนนซ์ ลูกค้าออกรถยากขึ้น แต่อย่างไรเราก็มีลีสซิ่งของนิสสันช่วยสนับสนุน
เราพยายามจัดกิจกรรมที่เข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น ผมมองว่ารถเก๋ง ช่วงนี้น่าจะไปได้ดี มีกลุ่มคนในเมืองที่เราจะเข้าไปเจาะซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และยังไม่ได้สัมผัสรถนิสสัน บวกกับนิสสันมีแคมเปญและ โปรโมชั่นดี น่าจะสร้างตัวเลขได้ไม่ยาก
ขณะเดียวกันพยายามผลักดันราคารถให้จับต้องได้ โดยเฉพาะ นิสสัน อัลเมร่า ราคา 400,000 -500,000 บาท เข้าถึงคนชุมพรได้ง่าย รายได้คนชุมพรไม่ได้สูงมาก ถ้ารถราคาไม่แพง มีแคมเปญ ตอบโจทย์ชีวิตเขา โอกาสเราขายได้มีสูง และเรายังมีศูนย์บริการ ซ่อมสี ตัวถัง ที่ทันสมัยไว้บริการลูกค้าด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่ยังไม่ได้อยากได้รถไฟฟ้าเราก็มี นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ส่วนกระบะอยู่ในช่วงที่ผลักดันยอดขายต่อ
ปีนี้เรามีแผนคอลแลปส์กับร้านกาแฟดัง ๆ ในจังหวัดชุมพร เมื่อลูกค้ามาดื่มกาแฟก็จะได้สัมผัสรถนิสสันไปด้วย แทนที่ลูกค้าจะเดินไปโชว์รูม เปลี่ยนเป็นเอารถเราไปใกล้ลูกค้ามากขึ้น เข้าไปทำให้ลูกค้าเจอง่าย ขับได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้ามาดูรถที่โชว์รูมก็ได้ รวมถึงการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ ดังช่วยโฆษณาตัวรถผ่านช่องทาง You Tube ,Tiktok เป็นต้น และที่ผ่านมาเราได้จัดกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานในชุมพร ทุกรูปแบบเพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น
ดังนั้นตัวเลขยอดขายเฉพาะแบรนด์ นิสสัน ตั้งเป้าไว้ 100 คันในปีนี้ แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 70 % กระบะ 30 %
คิดอย่างไรกับรถไฟฟ้า
กระแสรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ค่อนข้างร้อนแรง แต่ต่างจังหวัดมันดีในช่วงแรก ผ่านไปสักพักค่อนข้างเงียบ ตัวแทนจำหน่ายที่ขายรถไฟฟ้าค่อนข้างมีสต็อกเยอะ เพราะจริงๆ แล้วคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ถ้าอยากได้จริงก็เข้ากรุงเทพฯไปซื้อ เราก็ต้องมามองว่ากลุ่มที่จะใช้มีมากน้อยขนาดไหน ซื้อที่นี้และใช้ที่นี้ งานนี้ต้องจับตาดูกันต่อ รถไฟฟ้าอยู่บนทางแยก อยู่ในจุดเปลี่ยนไม่ใช่ ดีมาก แต่ก็ไม่ถึงกับแย่มาก มันอยู่ตรงกลาง
เรามีแผนมาขายรถไฟฟ้าเพิ่มอีกไหม
ชุมพรอาจจะยังไม่ใช่ตลาดรถไฟฟ้า เราก็เห็นคู่แข่งในจังหวัด มีทั้งเอ็มจี ,บีวายดี ยอดขายต่อปี 20 กว่าคัน ถือว่าน้อยมาก การขายรถไฟฟ้า มันไม่ง่าย สำหรับลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัด ลูกค้าผมอยู่ในสวน ทำสวนทุเรียน ซื้อ นิสสัน นาวาร่า หรือไม่ก็ คิกส์ ไปใช้ดีกว่า ชุมพรเป็นพื้นที่ห่างไกล คงต้องคิดเยอะ
คำถามสุดท้าย ทำไมใช้ชื่อคำว่า “มิตรแท้”
คุณพ่อเป็นคนตั้งครับ ความหมายคือ เราเป็น “มิตรแท้” กับลูกค้า เริ่มตั้งแต่ซื้อรถ ต่อรองราคาหน้าร้าน ถ้ามีปัญหาเอากลับมาเราซ่อมให้ แสดงความจริงใจทุกขั้นตอนเสมือนลูกค้าคือเพื่อนแท้ของเรา ดังนั้นคุณพ่อจึงใช้คำว่า “มิตรแท้” เพราะมันสำคัญ เป็นคอหลักในการดำเนินธุรกิจ
แต่เมื่อเข้ามาในยุคของผม ธุรกิจแตกหน่อมาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถหลายยี่ห้อ จึงพัฒนาโลโก้ใหม่ ให้ทันสมัยขึ้น เข้ากับกลุ่มลูกค้ารถยนต์มากขึ้น จึงมีคำว่า “มอเตอร์” เพิ่ม
ถึงบรรทัดนี้คงต้องบอกว่า มุมมองต่อการดำเนินธุรกิจของ ณัฐกฤษณ์ จอมเกตุ ว่าไม่ธรรมดา และมั่นใจได้ว่าทิศทางต่อจากนี้แม้จะไม่ง่าย แต่คงไม่ยากเกินไปที่ ทายาท รุ่น 2 คนนี้จะฝ่าฟันไปอย่างแน่นอน