ช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีการเปิดตัวสิ่งใหม่ๆ ออกมามากมาย โดยเฉพาะในปีนี้ซึ่งเป็นปีค.ศ.ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ และนั่นหมายความว่ามีงานใหญ่ปลายปีรออยู่ทั้งมิวนิก และโตเกียว ซึ่งแม้ว่าทั้งคู่จะเปลี่ยนแนวทางในการนำเสนอไปสู่เรื่องของการขับเคลื่อนด้วยยานยนต์รูปแบบต่างๆ อย่าง Mobility แล้วก็ตาม แต่ทว่าบรรดาแบรนด์รถยนต์ทั่วโลกต่างก็ยังนำเสนอยานยนต์ทั้งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและพลังไฟฟ้าออกมาให้สัมผัสกันอย่างต่อเนื่อง
มาดูกันว่าทั้งรถยนต์ในสายการผลิตและรถยนต์ต้นแบบที่ถูกเผยโฉมออกมาในช่วงปี 2023 มีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ
1.Toyota CH-R : รถยนต์ที่มีขายในบ้านเรา มีการเปิดตัวโฉมใหม่ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาแล้วในสไตล์สปอร์ต SUC ไซส์คอมแพ็กต์ที่มีความโฉบเฉี่ยวเหมือนเดิม ซึ่งในเจนเนอเรชั่นแรกของ CH-R นั้นถือว่าประสบความสำเร็จในการทำตลาดด้วยยอดขายมากกว่า 840,000 คันในยุโรป และนั่นทำให้มีการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นใหม่ตามออกมา
ในเวอร์ชันยุโรปจะมีการทำตลาดด้วยรูปแบบของไฮบริดอย่างเดียวกับการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบ่งเป็น Hybrid 140 กับเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี 140 แรงม้า ตามด้วย Hybrid 200 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี 197 แรงม้า และมีรุ่น Hybrid AWD-i ที่ใช้พื้นฐานเดียวกัน แต่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง และปิดท้ายด้วยรุ่น Hybrid 220 มาในแบบ Plug-in Hybrid ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี 197 แรงม้า แต่เสียบปลั๊กชาร์จได้ และแล่นในโหมด EV ได้ 66 กิโลเมตรเมื่อชาร์จจนเต็ม
2.Ford Ranger Plug-in Hybrid : ขณะที่ปิกอัพไฟฟ้ายังเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง Ford จับเอาปิกอัพขนาดกลาง ของตัวเองมาดัดแปลงและขับเคลื่อนภายใต้รูปแบบ Plug-in Hybrid ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษ โดยรุ่นที่นำมาดัดแปลงเป็นตัวแบบ 4 ประตู
ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,300 ซีซี เทอร์โบแบบ Eco Boost เป็นขุมพลัง บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ยังไม่ได้ระบุ สเปกออกมา และแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ ซึ่งสามารถแล่นทำระยะทางได้ 45 กิโลเมตรเมื่อมีการชาร์จจนเต็ม ขณะที่ในเรื่องการบรรทุกสัมภาระนั้นยังรองรับได้เหมือนเดิมกับตัวเลขการบรรทุก 3,500 ปอนด์ โดยการทำตลาดจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2024
3.Suzuki Swift : เจนเนอเรชั่นใหม่ของซับคอมแพ็กต์ยอดนิยมโดยเมื่อนับจากการบุกตลาดโลกเป็นเจนเนอเรชั่นแรกที่เปิดตัวในปี 2004 แล้ว เวอร์ชันนี้จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Swift ซึ่งทาง Suzuki นำรุ่นต้นแบบมาเปิดตัวในงาน Japan Mobility 2023 ก่อนที่จะมีการเปิดตัวคันจริงและเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2023
ตัวรถยังเป็นแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูมีความยาว 3,860 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตร และขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1,200 ซีซีรุ่นใหม่ที่มีกำลัง 82 แรงม้า และมีรุ่นไฮบริดเป็นอีกทางเลือกจับคู่กับมอเตอร์ขนาด 3.1 แรงม้า โดยมีเกียร์ให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 5 จังหวะ และ CVT
4.Honda e.NY1 : ดูหน้าตาแล้วอาจจะคุ้นๆ เพราะนี่คือการนำ HR-V รุ่นปัจจุบันมาต่อยอดในแง่ของโครงสร้างตัวถัง แต่พื้นตัวเป็นแบบ e:N Architecture F ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า แบบ Fully EV ตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าที่มองหารถ B-SUV ที่มีคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันอย่าง Peugeot e-2008, Volkswagen ID.4 และ Toyota bZ4X
ขุมพลังของ Honda e:Ny1 เป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ใช้เวลา 7.6 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 68.8 kWh ที่ช่วยให้ขับเคลื่อนได้เป็นระยะทางสูงสุดราว 256 ไมล์ หรือ 412 กิโลเมตรเมื่อชาร์จจนเต็ม (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP) และรองรับการชาร์จด่วนจาก 10-80% ในเวลาราว 45 นาที
5.Ferrari Roma Spyder : ความงดงามที่ต่อยอดมาจากรุ่นคูเป้ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ โดยรุ่น Spyder มาในแบบเปิดประทุนพร้อมคอนเซ็ปต์ “La Nuova Dolce Vita” เรื่องราวแห่งชีวิตที่เหนือระดับ และมีหลังคาอ่อนพับได้ติดตั้งมาให้ด้วย โดยรูปลักษณ์ภายนอกถอดแบบมาจากรุ่นคูเป้แต่ปรับปรุงตัวถังส่วนท้ายให้ลงตัวและสวยงามตามแบบฉบับรถสปอร์ตเปิดประทุน
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์วี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 3,900 ซีซี เทอร์โบ มีกำลังอยู่ที่ 620 แรงม้า กับแรงบิดอีก 760 นิวตันเมตร โดย 80% ของแรงบิดมีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,900 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ DCT 8 จังหวะ
6.Rolls-Royce Spectre : ไม่ใช่องค์กรร้ายข้ามชาติในภาพยนตร์ James Bond แต่ Spectre คือ รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ที่มาในมาดสปอร์ตคูเป้ของ Rolls-Royce ที่มาพร้อมกับค่าตัวในระดับ 31.8 ล้านบาท พร้อมความสวยงามในทุกรายละเอียด
บนตัวถังแบบ 2 ประตูที่มีความยาว 5.4 เมตรและระยะฐานล้อ 3.21 เมตรตัวรถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 2 ตัว พละกำลัง 585 แรงม้า 900 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหน้ากำลังสูงสุด 258 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มอเตอร์ด้านหลังกำลังสูงสุด 490 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร ใช้เวลา 4.5 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 530 km. (มาตรฐาน WLTP)
7.Nissan Z Nismo : เวอร์ชันใหม่จากสปอร์ตรุ่น Z ที่ได้รับการอัพเกรดทั้งความสวยงามของรูปลักษณ์ และสมรรถนะที่ซ่อนอยู่ข้างใน โดยเวอร์ชัน Nismo มาพร้อมกับการออกแบบตัวถังและชุดแต่งรอบคันที่ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับแอโรไดนามิก สปอยเลอร์ด้านหลังแบบสามชิ้น กระจังหน้าแบบใหม่ที่ทางบริษัทดีไซน์ออกมาด้วยตาข่ายรังผึ้งที่มีความบางที่สุดของบริษัทเพื่อให้ลมสามารถไหลเข้าสู่ห้องเครื่องได้มากขึ้น ส่วนภายในยังได้รับการออกแบบเติมเต็มไปด้วยความสปอร์ตทั้งเบาะ Recaro พร้อมหนัง Alcantara เปิดตัวออกมาพร้อมกับเฉดสี Steel Grey
ขุมพลังวี6 3,000 ซีซีเทอร์โบคู่ ได้รับการรีดกำลังเพิ่มขึ้น จนมีตัวเลขอยู่ที่ 420 แรงม้า พร้อมแรงบิด 520 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะที่พัฒนาให้มีการตอบสนองดียิ่งขึ้นจากรุ่นปกติ
8.Mitsubishi Colt EV : เป็นการนำเรื่องราวในอดีตมาผสมผสานกับการขับเคลื่อนยุคใหม่ โดยชื่อ Colt ถือว่าเป็นที่คุ้นเคยของแฟนๆ Mitsubishi ในฐานะรถยนต์แฮทช์แบ็คตัวแรง และคลาสสิคที่ทำตลาดในยุคทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะเลิกผลิตในยุโรปเมื่อปี 2014 โดยในช่วงปี 1978-2014 นั้น Colt ครองยอดขายที่นี่ด้วยตัวเลขถึง 1.2 ล้านคันกับ 6 เจนเนอเรชั่นในการทำตลาด
สำหรับรุ่นใหม่เป็นการทำงานร่วมกันของ Mitsubishi กับพันธมิตรอย่าง Renault ในการนำรถยนต์รุ่น Clio ในกลุ่มซับคอมแพ็กต์มาแต่งหน้าทาปาก โดยนอกจากจะมีรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในกับเครื่องยนต์เบนซิน 1,000 ซีซี พร้อมระบบส่งกำลังแบบ 5 จังหวะ และมีรุ่นไฮบริดแบบ HEV ทำตลาดมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1,600 ซีซี พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า
9.Porsche Panamera : เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของสปอร์ตซีดานรุ่นฮ็อตจากค่าย Porsche ซึ่ง Panamera รุ่นใหม่มาพร้อมกับการออกแบบที่อาจจะดูคล้ายเดิมในสไตล์ตัวถังแบบ 4 ประตูทรงสปอร์ตที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่รุ่นแรกซึ่งเปิดตัวในปี 2009 แต่ก็มีการอัพเกรดความลงตัวในทุกรายละเอียด เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่อยู่ข้างใน เช่น ระบบ PAR หรือ Porsche Active Ride ที่มีการปรับปรุงให้สามารถตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดีขึ้นด้วยการปรับระดับทั้งความสูง และความแข็งนุ่มของช่วงล่างได้ละเอียดและรวดเร็วขึ้น หรือการอัพเกรดระบบ Porsche Communication Management หรือ PCM ซึ่งเป็นระบบควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลที่อยู่ภายในตัวรถให้รวดเร็ว และครอบคลุมฟังก์ชั่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ตัวรถมีทั้งรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบวี6 2,900 ซีซี เทอร์โบ ที่มีกำลัง 353 แรงม้า และรุ่นไฮบริดแบบ e-Hybrid ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เบนซินวี8 4,000 ซีซี พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีกำลัง 190 แรงม้า ซึ่งทำให้ระบบโดยรวมของตัวรถขยับเพิ่มขึ้นเป็น 680 แรงม้า และสามารถขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวด้วยระยะทาง 91 กิโลเมตรในกรณีที่มีการชาร์จจนเต็ม
10.Lexus LBX : สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ Lexus ตลอดช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมาคือ การเน้นเจาะตลาดรถยนต์หรูจนกระทั่งลืมความสนุกสนานด้วยรถยนต์ที่มีความอ่อนวัย จนกระทั่งการมาถึงของ LBX ซึ่งถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกับตลาดยุโรป และถูกวางให้เป็น Game Changer ของแบรนด์ในการทำตลาดกลุ่มนี้ด้วยการตั้งเป้าการจำหน่ายเอาไว้ถึง 24,000 คันในปี 2024
สิ่งที่เห็นคือการเป็น SUV ขนาดซับคอมแพ็กต์มาดสปอร์ตเน้นการใช้งานสำหรับคนเมืองด้วยตัวถังที่มีความยาวเพียง 4.19 เมตร และระยะฐานล้อ 2.58 เมตร ส่วนการขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของระบบไฮบริด ที่มีกำลังรวมกันของเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเบนซิน 4 สูบ 1,500 ซีซี VVT-i และมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ 136 แรงม้า และใช้เวลา 9.2 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง