xs
xsm
sm
md
lg

สองล้อไฟฟ้าฮอตไม่แพ้รถยนต์ แรงหนุนEV3.5 คาดยอด 7 แสนกว่าคันปี 2573

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เป็นยานพาหนะที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆไม่ใช่แค่ในกลุ่มแม่บ้านเท่านั้นยังรวมถึงกลุ่มหนุ่มสาวและวัยทำงานด้วย นั่นก็เพราะรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีการพัฒนาระบบภายในอย่างก้าวกระโดด ทำให้สามารถใช้งานได้เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป ไม่ต้องเสียค่าเติมน้ำมัน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว อีกทั้งพลังงานไฟฟ้ายังเป็นพลังงานสะอาด 100 % จึงไม่ก่อเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมในขณะขับขี่

ในปี 2566 จึงเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งจริงแล้วมีการผลิตรถเหล่านี้ใช้มานานแต่เพิ่งมาได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยและขับขี่บนท้องถนน จึงทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ส่งรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก บวกกับกรุงศรี มอเตอร์ไซค์ คาดการณ์ว่ายอดขายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 203 % อยู่ที่ 30,000 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคและโอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจมอเตอร์ไซค์ที่กำลังจะเกิดขึ้น


ผู้เล่นอันดับต้นเป็นเจ้าของโรงงานผลิต

ในปี 2565 ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ต่อปีของประเทศไทยสูงถึง 1.8 ล้านคัน โดย 9,886 คันเป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งบ่งชี้ว่ามีอัตราการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าประมาณ 0.5 % สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนทั้งหมด ผู้เล่นที่โดดเด่นในตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของไทย ปี 2565 ได้แก่ Deco, H SEM, NIU ,HaoNaigi และสตอร์ม แต่อย่างไรก็ตาม Deco ยังคงเป็นผู้นำโดยอ้างว่ามีส่วนแบ่งการตลาด 29 % ในปี 2565 ตามมาด้วย H SEM ที่มีส่วนแบ่งตลาด 16 %

ผู้เล่นชั้นนำอย่าง Deco บริหารงานโดย Deco Green Energy ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างคนไทยและบริษัทไต้หวัน “LAIKE” นำความเชี่ยวชาญ การผลิต และการจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามาสู่ประเทศไทย ส่วน H SEM ผู้เล่นรายที่สอง เป็นองค์กรในท้องถิ่นที่นำเสนอรถกอล์ฟไฟฟ้าหลากหลายประเภท รวมถึงมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและสามล้อ สำหรับแบรนด์ชั้นนำอันดับสาม NIU คือผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของจีน นอกจากนี้ยังมี NIU EV ยังนำเข้าประเทศไทยโดยบริษัท Sharich Holding



ไทยในฐานะประเทศที่มีเจ้าของมอเตอร์ไซค์มาก สามารถปรับตัวให้ทันกระแสอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าก็กลายเป็นหนึ่งในสามประเทศที่มีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหมุนเวียนมากควบคู่ไปกับจีนและประเทศที่จำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าชั้นนำอื่น เช่น อินเดียและเวียดนาม น่าสังเกตที่ธุรกิจที่โดดเด่นหลายแห่งในประเทศไทยได้เริ่มนำรถมอเตอร์ไซค์ ไฟฟ้าเข้ามาเป็นยานพาหนะของบริษัท เช่น 7-Eleven CPALL ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดส่งอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ดังนั้นจึงริเริ่มที่จะเลือกใช้สกู๊เตอร์ไฟฟ้าเพื่อความประหยัดค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและมีส่วนร่วมในการลดมลพิษและการรักษาสิ่งแวดล้อม

มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 หลายแบรด์เปิดรถใหม่

งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 ที่ผ่านมา มีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเปิดตัวออกบูธกันเป็นจำนวนมากและแต่ละแบรนด์ต่างมีจุดเด่น จุดขายที่แตกต่างกัน พร้อมเป้าหมายกันอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ไม่ได้ออกงาน แต่มีการรุกตลาดอยู่ด้านนอกอีกหลายเจ้า ผู้เขียนอาจนำมาเสนอไม่ครบถ้วน แต่หยิบความเคลื่อนไหวล่าสุดของแต่ละค่ายที่พอจะรวบรวมได้


ZEEHO มอเตอร์ไซค์สมรรถนะสูงราคาหลักแสน

กลุ่มบริษัทพยัคฆ์ เพาเวอร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและจัดหาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกออกแบบโซลาร์รูฟท็อปและเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง EV Charger ของเดลต้า อิเลคโทรนิคส์ มองเห็นโอกาสจากการที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น EV HUP จึงได้ขยายธุรกิจสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยผู้นำเข้าประกอบและจัดจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบรนด์ ZEEHO อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในไทย

ZEEHO มีจุดเด่นตรงที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคุณภาพ มีประสิทธิภาพสูง มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว เท่ สะดุดตา ออกแบบโดย KISKA สตูดิโอ ออกแบบมอเตอร์ไซค์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้มีคล่องตัวและการทรงตัวที่ดีเยี่ยม สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้ครบทุกความต้องการ ทั้งในด้านดีไซน์ทีมีเอกลักษณ์ มีสมรรถนะ เทคโนโลยี และโซลูชั่นการขับเคลื่อนที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้มีการจำหน่ายไปแล้วกว่า 1 ล้านคันใน 100 ประเทศทั่วโลก


โดยรถที่ออกจำหน่ายมีรุ่น AE6+ ราคา 85,000 บาท มีขนาดมอเตอร์ไฟฟ้า 2,500 วัตต์ ส่งกำลังสูงสุดที่ 5,500 วัตต์ รุ่น AE8+ราคา 137,500 บาท และรุ่น AE8 S+ ราคา 149,900 บาท มีขนาดมอเตอร์ไฟฟ้า 5,000 วัตต์ ส่งกำลังสูงสุดที่ 12,500วัตต์ มาพร้อมกับระบบเบรก BOSCH ABS plus Brembo Caliper มีอัตราเร่ง 0-50 กม.ใน 2.6 วินาที ความเร็วในการขับขี่ 100+กม./ชม. ระยะวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ประมาณ 120-140 กม. และในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 จะมีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่น CITY SPORT เข้ามาจำหน่ายอีก 1 รุ่น โดยมีเป้า 2,000 คัน ตั้งแต่เริ่มขายจนถึงปลายปี 2567 รุ่น

FELO และ RAPID หลากหลายแบบให้เลือก

ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองกรรมผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทเทค มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯมีความมุ่งมั่นพัฒนามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในประเทศไทยรวมถึงผลักดันให้อุตสาหกรรม EV เติบโต จึงตั้งใจสร้างรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า FELO และ RAPID ให้มีสมรรถนะสูงในราคาที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการขับขี่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่


สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของFELO มีทั้งหมด 4 รุ่น คือ FELO FW 07 รถสมรรถนะสูงเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบความเร็วแรงเป็นพิเศษ ราคา 179,000 บาท FELO FW 03 สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ราคา 135,000 บาท FELO M1 มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างทำจากอลูมิเนียม สามารถพับเก็บได้ น้ำหนักเพียง 45 กิโลกรัม สามารถพกพาได้ ราคา 59,000 บาท FELO F5 ทรงสปอร์ตได้รับการถ่ายทอด DNA และเทคโนโลยีจากสนามแข่ง

ส่วน RAPID มีให้เลือก 5 รุ่น RAPID SR09 มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ราคา 86,000 บาท RAPID SR108 ออกแบบสไตล์คลาสสิค ราคา 79,500 คัน RAPID SR 208 มากับรูปแบบ BIG SCOOTED RAPID SR02 เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกวัน และ RAPID SR 10T เป็นรูปแบบ SCOOTER TOURING

ผู้ก่อตั้ง FELO เคยกล่าวว่า บริษัทใช้ระยะเวลากว่า 7 ปี ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงด้านความทนทานและปลอดภัยของแบตเตอรี่ มีการเพิ่มอายุการใช้งานของระบบไฟฟ้าได้สูงถึง 100,000 กิโลเมตรและขับขี่ได้อย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.เทียบเท่าเครื่องยนต์ 125 CC แต่มีสมรรถนะเหนือกว่ารถน้ำมัน 250 CC ได้โดยมีค่าใช้จ่ายแค่ 10 % ของรถน้ำมัน ทำให้ได้รับการยอมรับจากตลาดยุโรป


I-Motor เปิดตัวอีวีไบค์คุณภาพรุ่น Vapor CBS

บริษัท ไอ-มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ภายใต้แบรนด์ I-Motor ประกาศเปิดตัวรถ I-Motor รุ่น Vapor CBS มาพร้อมสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือกว่าในระดับเดียวกันด้วยล้อแม็กซ์หน้าลายพิเศษ 14 นิ้วและหลังขนาด 12 นิ้ว ดิสเบรก CBS หน้า-หลัง ขนาด 220 มม.ควบคุมการขับขี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ตอบโจทย์ทุกการเดินทางทั้งในเมืองและเดินทางไกล Vapor CBS รุ่น 8Amp ราคาเริ่ม 103-500 บาท รุ่น 15 Amp ราคา 108,500 บาท ส่วน Vapor Standard แบ่งเป็น มากับรุ่น8Amp ราคา101,500 บาท และรุ่น15 Amp ระบบ FAST CHARGE ราคา 106,500 บาท รุ่นVAPOR S รุ่น LIMIED EDITION ราคา 125,000 บาท พร้อมรับประกันทุกรุ่นนานสูงสุด 3 ปี หรือ 50,000 กม.

ที่สำคัญ I-Motor เป็นผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบรนด์แรกของไทยที่ได้รับเครื่องหมาย MADE IN THAILAND จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเป็นครั้งแรกของวงการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ได้นำเอาเทคโนโลยีโครงสร้างตัวรถ WORLD CLASS EMB PLATFORM ซึ่ผลิตจากวัสดุ HIGH STEEL มาตรฐานเดียวกับการผลิตยานยนต์ชั้นนำระดับโลก


LYVA จักรยานยนต์ไฟฟ้าจีน นำรุ่นใหม่ “MKK”

บริษัท เพ็นทินั่ม อีเล็กทรอนิกส์ จำกัด จับมือกับลู่หยวน (LUYUAN) ผู้นำและผู้บุกเบิกรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของจีน แต่งตั้งให้ เพ็นทินั่ม อีเล็กทรอนิกส์ เป็นผู้จัดจำหน่ายและประกอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า “ไลวา” แต่เพียงผู้เดียวในไทยอย่างเป็นทางการภายใต้แบรนด์ ไลวา (LYVA) ประเทศไทย และได้ลงทุนตั้งโรงงานในเฟสแรก 50 ล้านมีกำลังผลิต 1,000 คันต่อเดือน ในอนาคตจะลงทุนเพิ่มเพื่อเป็นฐานการผลิตส่งออกไปภูมิภาคอื่น พร้อมตั้งเป้าท็อปทรีของตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทย

สำหรับรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป คือ ไรวา MKK ตัวนี้จะให้มาเป็นตัวรองท็อปอยู่ตรงกลางระหว่างรุ่นท็อป YESTERDAY มีมอเตอร์ 3,000 W และรุ่น S30+ มีมอเตอร์ 2,000 W ดังนั้นทางไรวาเปิดตัวอีกรุ่นหนึ่งมาอยู่ตรงกลางเป็นตัวรองท็อป ไรวา รุ่น MKK มาพร้อมรูปทรงทันสมัยโฉบเฉี่ยว รุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว หรือหน้าจอแสดงผลเป็น LED เต็มระบบ มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Modern ครบครัน และมี NFC การ์ดแตะเพื่อสั่งงานเปิด-ปิดรถและขับเคลื่อนไปได้เลย ตัวมอเตอร์มีกำลัง 2,500 W มาพร้อมแบตเตอรี่ 72V 30Ah (LiFeP04 Battery) ออกแบบให้แบตเตอรี่อยู่ที่พื้น ทำให้ศูนย์ถ่วงลงมาต่ำ ขับขี่คล่องตัวมาก ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 85 KM/h ชาร์จ 0-100 % ประมาณ 4 ชั่วโมง วิ่งได้ 100 กิโลเมตร ค่าชาร์จต่อครั้งประมาณ 12 บาท ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าใช้ ราคาเต็มอยู่ที่ 93,000 บาท ได้ส่วนลดจากภาครัฐ เหลือเพียง 75,000 บาท เท่านั้น


จุดเด่นของรถแบรนด์นี้คือ บิดแรงแค่ไหนเครื่องก็ไม่ร้อน สามารถขับขี่ต่อเนื่อง 624 ชั่วโมงกว่า ระยะทาง 50,006 กิโลเมตร โดยไม่มีการหยุดพักและไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวรถ ทำให้นวัตกรรม Liquid Cooling Motor & Solid State Controller ของไลวา ได้รับการบันทึกเรื่องความทนทานและมีเสถียรภาพยอดเยี่ยมจาก Guinness World Records Certificate

EV 3.5 ตัวเร่งการเติบโตของมอเตอร์ไซค์ ไฟฟ้า

บีโอไอระบุว่ากระแสของยานยนต์ไฟฟ้าได้ทำให้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญที่ช่วยปลุกกระแสความนิยมการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไม่แพ้กับการใช้รถไฟฟ้า เห็นได้จากยอดขายและยอดจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่มียอดขายเพียง 1,500 คันในปี 2565 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 6,000 คัน ในปี 2564 โดยแนวโน้มการเติบโตนี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


Arthur D.Little บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก คาดการณ์ว่าการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทยอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 763,000 คันภายในปี 2573 โดยจะมีผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง ฮอนด้า ยามาฮ่า และอีกหลายแบรนด์ เข้ามาทำตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่ออนาคตของตลาดนี้

บอร์ดอีวีของประเทศไทยได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ซึ่งจะดำเนินตั้งแต่ปี 2567 จนถึง 2570 เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรม EV ให้เกิดการลงทุนในประเทศไทย โดยภาครัฐจะให้เงินอุดหนุนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 150,000 บาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป

โดยมาตรการ EV 3.5 กำหนดให้ผู้ได้รับการสนับสนุนต้องตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ด้วยอัตราส่วน 1:2 (นำเข้า 1 คันผลิตชดเชย 2 คัน) และเพิ่มเป็น 1:3 หากผลิตภายในปี 2570 โดยยานยนต์ที่ผลิตต้องผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผ่านการทดสอบมาตรฐานสากลจากศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)


นอกจากมาตรการ EV3.5 แล้ว ภาครัฐยังขับเคลื่อนนโยบาย 30@30 สู่เป้าหมายผลิตรถ Zero Emission Vehicles (ZEVs) 30 % ภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เป้ามายสังคมแห่ง Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions

ขณะที่แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นแบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศและนำเข้าผสมกัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารายใหญ่บางรายเช่น GPXและThai Yamaha Motor ผลิตแบตเตอรี่ของตนเอง ส่วนแบรนด์อื่น ๆ เช่น Deco, H SEM, NIU นำเข้าจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางยี่ห้อหันมาผลิตแบตเตอรี่เอง เนื่องจากรัฐบาล ให้การสนับสนุน และล่าสุด Swap & Go เปิดตัวแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ “Universal Swapping ” รายแรกในไทย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้สามารถใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้หลายแบรนด์ เช่น ไอ-มอเตอร์ ,สตาเลียน,อีทราน และสลีค


มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคน้ำมันแพง แถมยังลดฝุ่น ลดเสียง และปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และถือเป็นการพลิกโฉมการเดินทางในไทยเพื่อโลกใสสะอาดไร้มลพิษ จึงไม่แปลกที่นับวันความนิยมจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะไปถึงเป้าหมายที่หลายองค์กรคาดหวังไว้ต้องติดตามดู


กำลังโหลดความคิดเห็น