xs
xsm
sm
md
lg

เนต้า เปิดแผนรุกตลาดปีหน้า ส่ง 2 รุ่นใหม่ผลิตไทย “NETA V-II” – “NETA X” ต่อกร คู่แข่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หวัง เฉิงเจี่ย
เนต้า เป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอีกหนึ่งแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดเมืองไทยเมื่อปี 2022 โดยนำรถเข้ามาจำหน่ายรุ่นแรก คือ เนต้า วี ชูจุดเด่นในเรื่องราคาที่จับต้องได้ จนทำให้ยอดขายกระเจิงจากวันแรกจนถึงวันนี้ขึ้นแท่นรถไฟฟ้าที่มียอดขายมากเป็นอันดับสองรองจาก BYD ล่าสุด MGR MOTORING ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ หวัง เฉิงเจี่ย รองประธาน บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ เซลส์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด และ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ถึงทิศทางแผนการทำตลาดในปีหน้า เป็นอย่างไร

ความสำเร็จด้านยอดขายของเนต้าในไทย

ปัจจุบัน เนต้า ออโต้ ได้มีการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าภายในประเทศแล้วมากกว่า 12,000 คัน เรามียอดขายเป็นอันดับ 2 ในตลาดรถพลังงานไฟฟ้าในไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 20% โดยเราได้แต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยไปแล้ว 45 ราย และมีแผนในการเพิ่มจำนวนดีลเลอร์ในประเทศขึ้นอีกในปีหน้าอีกประมาณ 30 แห่ง


กลยุทธ์ในการทำตลาดและแข่งขันกับคู่แข่ง

เรายังคงมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเรา โดยเราเน้นความแข็งแกร่งของเราใน 4 ด้านตามหลักกลยุทธ์ 4P ได้แก่ Product (ผลิตภัณฑ์), Place (ตลาด), Price (ราคา) และ Promotion (โปรโมชั่น) ซึ่งเราจะดูความเหมาะสมของทุกองค์ประกอบไปจนถึงพัฒนาความพอใจด้านบริการหลังการขายและระบบอีโคซิสเต็มโดยรวมของ EV

สำหรับปี 2024 เรามีแผนที่จะรุกตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วยการเพิ่มจำนวนดีลเลอร์และทำการตลาดดิจิทัลมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะสามารถเข้ามาสัมผัสกับแบรนด์เนต้าได้ในอันดับแรก ในด้านยอดขาย เราตั้งเป้าหมายรวมสำหรับตลาดอาเซียนไว้ที่ 30,000 คัน โดย 90% ของยอดขายนี้จะมาจากตลาดไทย (ประมาณ 27,000 คัน) ถือเป็นเป้าหมายที่เราไม่ได้หนักใจอะไร เพราะในปีที่ผ่านมา เราประสบกับความสำเร็จด้านยอดขายอย่างสวยงามแม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ในตลาดไทยเพียงรุ่นเดียว คือ NETA V แต่ด้วยการเสริมทัพพอร์ตโฟลิโอกับ NETA V-II และ NETA X SUV พร้อมกับการเป็นตัวเลือกที่ให้ความคุ้มค่าและการเข้าถึงเทคโนโลยี EV ที่ใครๆ ก็เป็นเจ้าของได้ไม่ยากของแบรนด์เนต้า เชื่อว่าเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน


เป่า จ้วงเฟย
แผนการผลิตรถไฟฟ้านอกประเทศจีนแห่งแรก

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ บางชัน เยนเนอเรล เอเซมบลี (BGAC) ทำพิธี Line-off หรือกดปุ่มไลน์ผลิตครั้งแรกของโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าของเราซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน โดยโรงงานดังกล่าวมีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างและติดตั้งระบบเครื่องจักรไปแล้วประมาณ 90% และจะสามารถทำการตรวจสอบระบบและเริ่มทำการผลิตแบบนำร่อง (Pilot Production) ได้ในช่วงเดือนธันวาคม - มกราคมนี้ โดยจะเริ่มเปิดไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2024 (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งจะมีกำลังผลิตที่สอดคล้องกับมาตรการ EV 3.0 ของรัฐบาลที่สัดส่วน 1:1 (ยอดขายในปีที่ผ่านมาต่อกำลังการผลิต) โดยถ้าคำนวณจากการผลิตใน 1 กะต่อวัน โรงงานที่บางชันนี้ จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ไม่เกิน 20,000 คันต่อปี และไม่เกิน 40,000 คันต่อปีหากมีการผลิต 2 กะต่อวัน แต่เนื่องจากโรงงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็จะมีข้อจำกัดในด้านเวลาการขนส่งและลอจิสติกส์ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้า-ออกเขตเมืองสำหรับรถบรรทุก/รถขนส่งขนาดใหญ่

รถยนต์ไฟฟ้าที่จะผลิตที่โรงงานบางชัน

ตามแผนงานในระยะเริ่มต้น โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น NETA V-II (หรือรุ่น NETA AYA) ซึ่งจะเป็นโฉมใหม่ของ NETA V โดยจะมุ่งเน้นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยก่อน และหลังจากนั้นจะค่อยๆ ปรับโฟกัสเข้าสู่การผลิตเพื่อรองรับการส่งออกรถยนต์เนต้าไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอาจจะเริ่มทำการส่งออกล็อตแรกได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือที่ 4 ปีหน้า จึงถือว่าช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 จะเป็นช่วงเริ่มต้นทำการผลิตและปรับปรุงระบบของโรงงาน รถยนต์ไฟฟ้าของเนต้าที่จัดจำหน่ายในช่วงดังกล่าวก็จะยังคงเป็นรถที่นำเข้ามาจากโรงงานที่จีน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังไปแล้วเมื่อระบบปฏิบัติการทุกอย่างเกิดความราบรื่น เราก็จะหวังยอดขายจากรถยนต์ที่ผลิตในโรงงานไทยได้มากขึ้น โดยเป้าหมายจัดจำหน่ายของเราสำหรับปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 12,000 คันหรือมากกว่านั้น


นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ทางเนต้า ออโต้ จะทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Crossover SUV รุ่น NETA X ประมาณในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เนื่องจากเป็นรถรุ่นที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก และยังเป็นเซ็กเม้นต์ตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีสัดส่วนที่ใหญ่และมีการเติบโตในประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังให้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ชาวไทยในปัจจุบันได้มากที่สุด โดยในด้านราคา เราจะพิจารณาตามความเหมาะสมของต้นทุนการผลิต รวมถึงปัจจัยด้านต่างๆ เราไม่มีแผนการแข่งขันด้านราคาหรือลดราคาแต่จะดูความเหมาะสมตามตลาดและตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก

แนวโน้มตลาดรถยนต์ EV ปี 2024

เนื่องด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดประเทศไทย คาดว่าในปี 2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะมีแนวโน้มหลักๆ ไปใน 2 ทิศทาง

หนึ่งบริษัทจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าทุกค่ายจะหันมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เนื่องจากทางรัฐบาลให้การสนับสนุนและมีมาตรการที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมให้กับผู้ประกอบธุรกิจและลูกค้า ทำให้ในด้าน Supply Chain อาจเกิดปัญหาไม่สามารถรองรับปริมาณความต้องการด้านวัตถุดิบหรือส่วนประกอบต่างๆได้อย่างเพียงพอโดยตลาดอาจจะมีช่วงหยุดชะงักเกิดขึ้นเป็นระยะๆอาจเป็นช่วงที่ภาคการผลิตเกิดปัญหาการขาดแคลนดังกล่าว

สองจะมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าค่ายใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะจากประเทศจีนซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ในไทยถึง 7 ค่ายแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตรุดหน้าของยอดขายและอุตสาหกรรม EV อย่างรวดเร็ว จึงมีแนวโน้มว่าทางภาครัฐอาจมีมาตรการในการปรับปริมาณจำนวน (Volume) ของรถยนต์ไฟฟ้าให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งอาจทะลุไปถึง 100,000 คันต่อปี (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% เมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งหมด)


มาตรการการสนับสนุนจากภาครัฐ

มุมมองของเนต้า ออโต้ เราตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้านยอดขาย และการพัฒนาของทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็มสำหรับ EV ในทั่วประเทศ ล้วนเป็นผลมาจากความชัดเจนในการเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่มาจากเทคโนโลยีไฟฟ้าในรถยนต์นั่ง ภายในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีสรรพสามิตและนโยบายที่เอื้ออำนวยให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ สามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างสะดวกราบรื่น มีการเข้ามาทำงานร่วมกันในโครงการต่างๆ มากมายในรูปแบบพันธมิตร ช่วยให้ไทยมีตลาด EV ที่กำลังเติบโตและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นตลาดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ฯลฯ ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ยังคงอยู่ในกระบวนการการศึกษาความเป็นไปได้และกำลังหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อมาปรับใช้ ในขณะที่ประเทศไทย เราทำไปแล้ว เราทำได้จริง และเรามีความได้เปรียบในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม EV ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทางเนต้ามองว่าความสำเร็จในด้านนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลไทยในการผลักดันนโยบายพลังงานซึ่งเป็นวาระแห่งชาติให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม

แบตเตอรี่ของเนต้าที่ผลิตในไทย

ตามแผนงานของโรงงานแห่งใหม่ รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในไทยของแบรนด์เนต้าจะใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตโดยพันธมิตรของเรา คือบริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ในเครือ PTT โดยในวันที่ 7 ธันวาคม 2023 นี้ ทางบริษัทฯ จะเริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ และภายในปี 2025 (2568) ทางรัฐบาลไทยจะมีมาตรการให้บริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่และมอเตอร์ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น ทางบริษัทฯ จึงมีแผนพัฒนาการผลิตแบตเตอรี่ที่โรงงานบางชันของเราต่อไป เราจึงมองหาพาร์ทเนอร์รายอื่นๆ ที่จะมาร่วมแชร์เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่และเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมกัน ภายใต้กรอบมาตรการใหม่ที่จะออกมาโดยสถาบันยานยนต์แห่งประเทศไทย


แนวโน้มอุตสาหกรรม EV ระดับโลกในปี 2024

เราคิดว่าตลาดในภาพรวมจะเกิดความท้าทายมากขึ้นในหลายๆ ตลาดทั่วโลก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้าตลาดน่าจะยังคงมีการเติบโตอยู่อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะในภูมิภาคใหม่ๆ เช่น อาเซียน ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ ที่เนต้า ออโต้ ได้ค่อยๆ เข้าไปเริ่มดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2024 คาดว่าตลาดจะมีการชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องของการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงในส่วนของโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ที่ไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นมากนัก

ในส่วนของตลาดจีนเอง หลังจากที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องมา 12 ปี ก็จะเริ่มตัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ออกไป และแน่นอนว่าลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ EV ส่วนมากย่อมคำนึงถึงประโยชน์ หรือ Incentive ต่างๆ ที่ตนจะได้รับจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีนี้ด้วย ตลาดจึงอาจจะทรงตัวหรือชะลอตัวลงในช่วงปีหน้า โดยปัจจุบัน สัดส่วนของรถ EV เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 38%

ส่วนประเทศไทย เนต้ามองว่าสัดส่วนรถ EV น่าจะสามารถเติบโตขึ้นมาได้ถึง 30% ภายใน 3 ปี เมื่อเทียบกับยอดรถจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดที่ปัจจุบันเป็นรถ EV ประมาณ 20% ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย 1.) นโยบายของรัฐที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ และสาธารณูปโภคต่างๆ และ 2.) การวิจัยและพัฒนา ที่จะมีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


การขยายตลาดต่างประเทศ ภูมิภาคอาเซียน

สำหรับภาพรวมของธุรกิจในตลาดต่างต่างประเทศ หลังจากที่เราได้เข้ามาจัดตั้งบริษัท เนต้า ออโต้ ประเทศไทยเมื่อปี 2022 และเริ่มทำตลาดในประเทศ เราได้มีการขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยปัจจุบันได้มีการจัดตั้งบริษัท NETA Auto ในอินโดนีเซีย และเวียดนาม (รวม 3 บริษัทในอาเซียน) และมีการดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทผู้แทนจัดจำหน่ายในมาเลเซีย เมียนมาร์ ลาว บรูไน และอยู่ในระหว่างการแต่งตั้งผู้แทนในกัมพูชา โดยเราสามารถครอบคลุมตลาดในภูมิภาคนี้อย่างครบถ้วนทั้ง 10 ประเทศ

ในส่วนของตลาดตะวันออกกลางที่เราได้เริ่มเข้าไปดำเนินธุรกิจแล้วในปีนี้ เราได้จัดตั้งบริษัท NETA Auto ในจอร์แดน ตุรกี อิสราเอล (ซึ่งยังคงเลื่อนเวลาเปิดตัวอยู่ตามสถานการณ์) และอื่นๆ นอกจากนี้ เรากำลังจะเปิดตัวบริษัทแห่งแรกของเราในทวีปยุโรป ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 10 มกราคม 2024 นี้ โดยเนต้ามีเป้าหมายในการเข้าถึงตลาดกว่า 60 ประเทศภายในปี 2024 นี้


เปรียบทางธุรกิจรถจีนกับญี่ปุ่นที่อยู่มานาน

จริงอยู่ที่แบรนด์รถยนต์ต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่นได้มีการเข้ามาลงทุนและทำตลาดอยู่ในประเทศไทยและอาเซียนเป็นเวลายาวนาน แต่เรามองว่าลักษณะเฉพาะของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าโดยบริษัทต่างๆ ในจีนมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า 100% ถือว่าเป็นสินค้าเทคโนโลยี / อัจฉริยะ ที่ทางประเทศจีนมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อันแข็งแกร่งในอันดับต้นๆ ของโลก เรามั่นใจว่าความก้าวหน้าและนวัตกรรมในด้านนี้ จีนไม่เป็นสองรองใคร ผนวกกับการมีตลาดที่ใหญ่และมีอุตสาหกรรมยานยนต์ EV ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ปี เราคือผู้นำระดับโลกในด้านนี้และเราจะสามารถแข่งขันในตลาดและสร้างยอดขายได้สำเร็จมากกว่าประเทศอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาและพัฒนา

ทั้งหมดเป็นแนวทาง ทิศทาง การทำตลาดของ เนต้า อีกหนึ่งแบรนด์จีนที่รุกเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ซึ่งจะว่าไปแล้วถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวและไม่อาจมองข้ามได้ค่ายจีนแบรนด์นี้ “เนต้า”




กำลังโหลดความคิดเห็น