บริดจสโตนเปิดตัวยาง “BRIDGESTONE ALENZA 001” ขนาดใหม่ผลิตในประเทศไทยสำหรับรถยนต์พรีเมียมครอสส์โอเวอร์ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า วางจำหน่าย 7 ขนาด ตั้งแต่ 16-19 นิ้ว
บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำยางรุ่นใหม่ล่าสุด ALENZA 001 พร้อมกับการจัดให้ทดลองขับเบื้องต้น ณ สนามทดสอบยางของบริดจสโตน โดยขับเปรียบเทียบกับยางของคู่แข่งหลังจากที่ได้เข้าร่วมทดลองขับผลลัพธ์เป็นดังต่อไปนี้
1) สถานีทดสอบการเปลี่ยนเลนแบบกระทันหัน (Emergency Lane Change) เห็นได้ชัดเจนว่า ALENZA 001 เกาะถนนและมีความแม่นยำในการบังคับควบคุม ทรงตัวได้มั่นใจกว่าเมื่อเทียบกับยางของคู่แข่ง
2) สถานีทดสอบการขับขี่แบบสลาลม (Slalom Driving) เป็นการการควบคุมรถในขณะขับขี่บนเส้นทางคดเคี้ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจได้ในทุกการเลี้ยวและเสียงยางบดถนนน้อย แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแทบจะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสักเท่าใดนัก
3) สถานีทดสอบการเข้าโค้ง (Cornering) สัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการลดเสียงรบกวนจากยางด้วยเทคโนโลยี Slit Silencer แต่แน่นอนว่าพื้นผิวของสนามทดสอบที่เรียบย่อมมีผลดีต่อการลดเสียงอีกทางหนึ่งด้วย
4) สถานีทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนถนนเปียก (Wet Handling Performance) เพื่อทดสอบการยึดเกาะของยางบนถนนเปียกด้วยเทคโนโลยี Multi-Round Block และ Nano Pro-tech ซึ่งพบกว่าสามารถรีดน้ำได้ดี มั่นใจได้เต้ม 100% หากต้องขับลุยฝนหรือถนนที่มีน้ำขัง
5) สถานีทดสอบจิมคานา (Gymkhana) ได้ลองสมรรถนะโดยรวมของยางทั้ง 2 ยี่ห้อ กล่าวโดยสรุปคือ มีการยึดเกาะถนนที่ใกล้เคียงกัน บังคับควบคุมพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำ แต่จะมีจุดสำคัญคือ หลังจากขับเสร็จ(ผู้เขียนขับเป็นคนสุดท้าย) ได้เข้าไปตรวจสอบเนื้อยางพบว่า มีรอยสึกเล็กน้อยที่มองเห็นได้ทั้งคู่
สรุป เนื้อยางและโครงสร้างของยาง ALENZA 001 เหมาะกับรถอเนกประสงค์ที่ต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่และการยึดเกาะถนนในระดับสูง บนถนนปกติทั่วไป ไม่เหมาะกับการลุยทางออฟโรด โดยมีราคาเริ่มต้นที่ราว 6,000 บาทต่อเส้นสำหรับยางที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นคนละขนาดกับรุ่นนำเข้าที่มีราคาเริ่มต้นราว 9,000 บาทต่อเส้น
บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำยางรุ่นใหม่ล่าสุด ALENZA 001 พร้อมกับการจัดให้ทดลองขับเบื้องต้น ณ สนามทดสอบยางของบริดจสโตน โดยขับเปรียบเทียบกับยางของคู่แข่งหลังจากที่ได้เข้าร่วมทดลองขับผลลัพธ์เป็นดังต่อไปนี้
1) สถานีทดสอบการเปลี่ยนเลนแบบกระทันหัน (Emergency Lane Change) เห็นได้ชัดเจนว่า ALENZA 001 เกาะถนนและมีความแม่นยำในการบังคับควบคุม ทรงตัวได้มั่นใจกว่าเมื่อเทียบกับยางของคู่แข่ง
2) สถานีทดสอบการขับขี่แบบสลาลม (Slalom Driving) เป็นการการควบคุมรถในขณะขับขี่บนเส้นทางคดเคี้ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจได้ในทุกการเลี้ยวและเสียงยางบดถนนน้อย แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแทบจะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสักเท่าใดนัก
3) สถานีทดสอบการเข้าโค้ง (Cornering) สัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการลดเสียงรบกวนจากยางด้วยเทคโนโลยี Slit Silencer แต่แน่นอนว่าพื้นผิวของสนามทดสอบที่เรียบย่อมมีผลดีต่อการลดเสียงอีกทางหนึ่งด้วย
4) สถานีทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนถนนเปียก (Wet Handling Performance) เพื่อทดสอบการยึดเกาะของยางบนถนนเปียกด้วยเทคโนโลยี Multi-Round Block และ Nano Pro-tech ซึ่งพบกว่าสามารถรีดน้ำได้ดี มั่นใจได้เต้ม 100% หากต้องขับลุยฝนหรือถนนที่มีน้ำขัง
5) สถานีทดสอบจิมคานา (Gymkhana) ได้ลองสมรรถนะโดยรวมของยางทั้ง 2 ยี่ห้อ กล่าวโดยสรุปคือ มีการยึดเกาะถนนที่ใกล้เคียงกัน บังคับควบคุมพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำ แต่จะมีจุดสำคัญคือ หลังจากขับเสร็จ(ผู้เขียนขับเป็นคนสุดท้าย) ได้เข้าไปตรวจสอบเนื้อยางพบว่า มีรอยสึกเล็กน้อยที่มองเห็นได้ทั้งคู่
สรุป เนื้อยางและโครงสร้างของยาง ALENZA 001 เหมาะกับรถอเนกประสงค์ที่ต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่และการยึดเกาะถนนในระดับสูง บนถนนปกติทั่วไป ไม่เหมาะกับการลุยทางออฟโรด โดยมีราคาเริ่มต้นที่ราว 6,000 บาทต่อเส้นสำหรับยางที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นคนละขนาดกับรุ่นนำเข้าที่มีราคาเริ่มต้นราว 9,000 บาทต่อเส้น