ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV คือ ปลายทางในการเดินหน้าไปสู่เพื่อความยั่งยืนในการเดินทาง แต่ทว่ารถยนต์สันดาปภายในที่เราคุ้นเคยกันมากว่า 100 ปีก็ยังเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรถยนต์และหน่วยงานภาครัฐยังไม่ถึงกับทิ้งไปเลยเสียทีเดียว พวกเขายังให้ความสำคัญอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานขับเคลื่อนมาสู่ยุคของการขับด้วยพลังไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีความสำคัญ
ในยุโรปโดยเฉพาะแบรนด์จากฝั่งเยอรมนีเริ่มมองหาพลังงานใหม่ที่เรียกว่า e-fuel ขณะที่ฝั่งสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะยังไม่มีทางออกของแหล่งเชื้อเพลิงใหม่เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่พวกเขาก็เลือกที่จะใช้เรื่องของกฎข้อบังคับจากทางภาครัฐฯ เป็นตัวควบคุมการทำงานของบริษัทรถยนต์ในการพัฒนายานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกับความต้องการที่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ดังนั้นช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นหน่วยงานทางภาคัฐฯ ของสหรัฐอเมริกาที่ดูและในส่วนนี้อย่าง EPA-Environment Protection Agency รวมถึง NHTSA-National Highway Traffic Safety Administration ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการกำกับดูแลเกี่ยวกับข้อกำหนดที่จะถูกเตรียมนำมาใช้ในอนาคตสำหรับตลาดแห่งนี้
ภาครัฐเสนอหน่วยงานสนองตอบทันที
ตลาดสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ และมีความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างช้ามากในแง่ของการเปลี่ยนถ่ายจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ และแม้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะมีแนวคิดในการเพิ่มปริมาณรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ BEV บนท้องถนนในช่วงตลอด 5-6 ปีข้างหน้า แต่ทว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเองก็ยังมีความสำคัญ และจำเป็นจะต้องได้รับการควบคุมและออกข้อกำหนดในการพัฒนาเพื่อความเหมาะสมก่อนที่ทั้งหมดจะเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาฝ่ายบริหารของไบเดน เสนอให้ปรับเพิ่มมาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงภายในปี 2032 เป็นค่าเฉลี่ยทั่วทั้งระบบที่ 58 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นความพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้เชื้อเพลิง และตรงนี้ได้ทำให้หน่วยงานที่รับปิดชอบจำเป็นจะต้องขยับตัวกัน
National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้นำเสนอข้อเสนอ ซึ่งครอบคลุมรถยนต์รุ่นระหว่างปี 2027 ถึง 2032 จะเพิ่มข้อกำหนดการประหยัดเชื้อเพลิงเฉลี่ยขององค์กร (CAFE-Corporate Average Fuel Economy ) 2% ต่อปีสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ 4% ต่อปีสำหรับรถบรรทุกขนาดเล็ก อีกทั้งยังยังเสนอมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงใหม่สำหรับรถกระบะและรถตู้บรรทุกหนักสำหรับปี 2032-2035 เพิ่มขึ้น 10% ต่อปี
‘มาตรฐาน CAFE จะถือเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อปรับปรุงในเรื่องของอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประโยชน์ของคนอเมริกันและประเทศชาติ’ Ann Carlson ผู้บริหารของ NHTSA กล่าว
ลดค่าใช้จ่ายพร้อมลดมลพิษ
ข้อเสนอเหล่านี้ทาง NHTSA เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับการลดปัญหาด้านสุขภาพอันเป็นผลมาจากไอเสียที่ถูกปล่อยออกมาสู่สิ่งแวดล้อมข้างนอก โดยเป้าหมายจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถตู้สำหรับบรรทุกสินค้า โดยที่มีรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเบา เช่น ปิกอัพรวมอยู่ด้วย
มาตรการในการใช้งานจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ในการจัดการ โดยช่วงแรกจะเริ่มขึ้นในปี 2024-2026 ซึ่งกำหนดให้มีรถยนต์มึค่าสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 49 ไมล์ต่อแกลลอน หรือ 20.0 กิโลเมตร/ลิตร ภายในปี 2026 กฎดังกล่าวเพิ่มข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพขึ้น 8% ในปี 2024 และ 2025 และ 10% ปี 2026 โดยจากข้อเสนอใหม่ของหน่วยงานนี้จะช่วยให้เจ้าของรถประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงตลอดอายุการใช้งานได้ประมาณ1,043 ดอลลาร์ต่อคัน ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยของรถจะเพิ่มขึ้น 932 ดอลลาร์
‘รถยนต์ที่มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีย่อมหมายความว่าจะช่วยคนอเมริกันประหยัดเงิน และมีความมั่นคงทางด้านพลังงานในแง่ของภาพรวมประเทศ’ Pete Buttigieg เลขาธิการของหน่วยงานด้านขนส่งของสหรัฐอเมริกากล่าว โดยแผนการทำงานจะเริ่มมีผลในปี 2027 และดำเนินต่อไปจนถึงปี 2035 และ NHTSA เชื่อว่าน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว และจะลดการใช้น้ำมันลง 88 พันล้านแกลลอนจนถึงปี 2050
ในขณะที่ยุคของรถยนต์พลังไฟฟ้ายังไม่มีความชัดเจนในแง่ของภาพรวม ตรงนี้ถือเป็นอีกความพยายามของภาครัฐในการจัดการรถยนต์สันดาปภายในที่ยังถือเป็นยานพาหนะส่วนใหญ่ที่ยังอยู่บนท้องถนนให้สามารถเดินหน้าแบบควบคู่กันไปได้ และที่สำคัญคือเป็นการกระจายความเสี่ยงหากในกรณีที่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้
