โตโยต้า ทาโคมา เจเนอเรชันที่ 4 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา พร้อมขุมพลังเบนซิน 2.4 ลิตร i-FORCE กำลังสูงสุด 278 แรงม้า และไฮบริด 2.4 ลิตร i-FORCE MAX กำลังสูงสุด 326 แรงม้า เสริมทางเลือกด้วยรุ่น TRD Pro ท้าชน "เรนเจอร์ แร็พเตอร์"
โตโยต้า ทาโคมา ใหม่ ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถกระบะขนาดกลางรองลงมาจาก "ทุนดรา" บนพื้นฐานของแพล็ตฟอร์ม TNGA-F มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ i-FORCE กำลังสูงสุด 278 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ECT-i และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด iMT2 ที่มีฟังก์ชัน Rev-matching และระบบช่วยป้องกันเครื่องยนต์ดับ (รุ่นเกียร์ธรรมดาลดกำลังสูงสุดลงเหลือ 270 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร)
ส่วนอีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด i-FORCE MAX ที่จับคู่กันระหว้างเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 48 แรงม้า พร้อมด้วยแบตเตอรี่แบบ NiMH ขนาดความจุ 1.87 กิโลวัตตชั่วโมง ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดเท่านั้น
โตโยต้า ทาโคมา ยังคงพัฒนาให้เป็นรถกระบะแบบ Body-on-frame แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์แทนที่ช่วงล่างแหนบในรุ่นก่อนหน้า (ยกเว้นรุ่นย่อย SR, SR5 XtraCab และ TRD PreRunner ที่ยังคงใช้ช่วงล่างหลังแบบแหนบ) เสริมด้วยระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่รุ่น TRD ขึ้นไปจะถูกติดตั้งจานเบรกด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ส่วนรุ่น TRD ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ไฮบริด i-FORCE MAX ก็จะได้อัปเกรดจานเบรกหลังให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ โตโยต้ายังได้มีการปรับจูนช่วงล่างเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละเกรดโดยเฉพาะ เช่น ในรุ่น TRD Sport จะมาพร้อมโช้กอัปแบบสปอร์ตเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนน, รุ่น TRD Off-Road มาพร้อมโช้กอัปแบบโมโนทูบจาก Bilstein ที่มีวาล์ว ESCV (End stop control valve) ช่วยเพิ่มแรงหนืดอัตโนมัติเมื่อโช้กขึ้นลงจนสุด ส่วนรุ่น TRD Pro มาพร้อมโช้กอัปแบบ Internal Bypass 3 ทาง QS3 จาก FOX ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขณะขับขี่ออฟโรดที่ความเร็วสูง
ส่วนรุ่น Trailhunter มาพร้อมช่วงล่าง Old Man Emu (4x4) Suspension by ARB เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดขณะขับขี่แบบออฟโรด และรุ่น Limited มาพร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive Variable Suspension (AVS) ที่สามารถปรับความหนืดได้อัตโนมัติตามสภาพถนนเช่นเดียวกับรถยนต์หรู
ภายในห้องโดยสารถูกติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 8 นิ้ว หรือ 14 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย รองรับการเชื่อมต่อ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto เสริมด้วยช่องชาร์จไฟแบบ USB-C เพื่อความสะดวกในการใช้งานกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ขณะที่เรือนไมล์เป็นแบบหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ 4 รูปแบบ ส่วนรุ่นล่างจะได้หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว
ทุกรุ่นยังมาพร้อมกุญแจ Smart Key System พร้อมปุ่มสตาร์ท ทั้งยังมีฟังก์ชัน Digital Key ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถได้ รวมถึงยังมีกุญแจแบบ Smart Card ที่มีขนาดเท่าเครดิตการ์ดทั่วไป ช่วยเพิ่มความสะดวกในการพกพา ทั้งยังมาพร้อมระบบเครื่องเสียง JBL ที่มีลำโพงถึง 10 ตำแหน่งรอบคัน และสามารถใช้ลำโพงไร้สาย JBL FLEX เสียบเข้ากับช่องที่ออกแบบมาเฉพาะบริเวณคอนโซลหน้าเพื่อใช้เป็นซับวูฟเฟอร์ รวมถึงติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0 มาให้ทุกรุ่นเช่นกัน