xs
xsm
sm
md
lg

ปอร์เช่ เผยรายได้ปีที่ผ่านมาโต 13.6 % กำไร 6.8 พันล้านยูโร ปีนี้คาดขาย 20 % เน้นรถไฟฟ้าเพิ่ม 80 % ภายในปี2573

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปอร์เช่ เผยรายได้ส่งท้ายปีงบประมาณ 2565 ด้วยสถิติใหม่ถึง 4 ประการ รายได้จากการขายในปี 2565 มีมูลค่ากว่า 37.6 พันล้านยูโร คิดเป็นอัตราการเติบโต 13.6 เปอร์เซ็นต์ (ปี 2564 มีมูลค่า 33.1 พันล้านยูโร) ผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 6.8 พันล้านยูโร สูงกว่าสถิติเดิมของปีที่แล้วถึง 1.5 พันล้านยูโร (เพิ่มขึ้น 27.4 เปอร์เซ็นต์) ยอดส่งมอบรถยนต์ใหม่ และเงินเดินสะพัดจากผลิตภัณฑ์ยานยนต์ในปี 2565 ทำตัวเลขสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผลตอบแทนจากการดำเนินงานขายเพิ่มขึ้นจาก 16.0 เปอร์เซ็นต์ เป็น 18.0 เปอร์เซ็นต์ และในปีนี้บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตที่ตั้งอยู่ในสตุ๊ทการ์ท กำลังผลักดันแผนกลยุทธ์ modern luxury และได้เริ่มต้นแนวทางธุรกิจ “Road to 20 programme” เพื่อบรรลุเป้าหมายผลกำไรในระยะยาว

Oliver Blume ประธานกรรมการบริหาร Porsche AG เปิดเผยว่า Porsche AG สามารถบริหารและจัดการกับยอดจองรถยนต์ได้เป็นอย่างดี และยังสร้างตัวเลขยอดส่งมอบรถใหม่ให้ลูกค้าสูงถึง 309,884 คัน ตลอดปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครน ความท้าทายจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า และปัญหาการขาดแคลน supply chain ทั่วโลก โดยยอดจำหน่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนถึง 2.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 (ยอดจำหน่าย 301,915 คัน) ในปีงบประมาณ 2564 กระแสเงินสดสุทธิจากผลิตภัณฑ์ยานยนต์เพิ่มขึ้นจาก 3.7 พันล้านยูโร เป็น 3.9 พันล้านยูโร “องค์ประกอบความสำเร็จของเรามาจากการพัฒนา price positioning, ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์, ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น, ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน และระเบียบวินัยการควบคุมต้นทุนอันเข้มงวดของเรา”

Oliver Blume ประธานกรรมการบริหาร Porsche  AG  และ Lutz Meschke  รองประธาน และสมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้กำกับดูแลส่วนงานการเงิน และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทีมงานของปอร์เช่ มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อตั้งเป้าหมายระดับสูงต่อไปในอนาคต ในปี 2566 บริษัทได้เริ่มต้นดำเนินแผนธุรกิจ “Road to 20 programme” ซึ่งปอร์เช่มีเป้าหมายให้ได้ตัวเลขผลตอบแทนจากการดำเนินงานขายมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ในระยะยาว “ด้วยแผนธุรกิจ Road to 20 Programme เรากำลังจะนำพาปอร์เช่มุ่งสู่การเป็นแบรนด์ที่เติบโต และแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ผ่านมา และเรากำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้สดใหม่มีชีวิตชีวา เริ่มตั้งแต่ผลิตภัณฑ์รถยนต์ รวมทั้งโครงสร้างต้นทุนของเรา เราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของกำไรส่วนต่าง และสร้างเสริมความน่าสนใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ของเรามากยิ่งขึ้น” Lutz Meschke กล่าว แผนธุรกิจ Road to 20 programme คือการดำเนินงานที่ต่อเนื่องจากความสำเร็จของแผนธุรกิจ Profitability Programme 2025 ซึ่งปอร์เช่กำหนดขึ้นเพื่อทำให้บริษัทมีความสามารถในการรับมือกับวิกฤติการณ์ต่างๆที่ถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาก่อนหน้า

ขณะเดียวกันปอร์เช่เดินหน้าสานต่อแผนกลยุทธ์ในแบบ modern luxury ตามรายงาน Luxury & Premium Report จากองค์กรที่ปรึกษาด้านการเงิน Brand Finance ปอร์เช่คือแบรนด์รถยนต์ระดับหรูที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก “เราผสมผสานความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้ขับขี่ รวมทั้งความรับผิดชอบที่เรามีต่อสังคม และเรากำลังขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์ด้วยรถสปอร์ตแนวคิดใหม่ และยังคงมุ่งเน้นไปที่รถยนต์รุ่น limited editions และรุ่นตกแต่งพิเศษ Sonderwunsch programme ที่จะออกมาในอนาคต เราต้องการตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าของเราให้มากกว่าปัจจุบันและอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาทุกครั้ง” Oliver Blume กล่าว



ที่สำคัญปอร์เช่ยังคงต้องการมุ่งเน้นไปยังแผนกลยุทธ์ด้านรถพลังงานไฟฟ้า หรือ electrification strategy ควบคู่ไปกับแผนกลยุทธ์อื่น ๆ ขั้นตอนการพัฒนา ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) รุ่นไฟฟ้า all-electric เป็นไปตามแผนงาน และจะพร้อมส่งมอบให้แก่ลูกค้าในปี 2567 สำหรับปอร์เช่ 718 รุ่นไฟฟ้า all-electric มีแผนเปิดตัวในช่วงกลางทศวรรษนี้ ในระยะกลางจะมีการเปิดตัวเฉพาะรถยนต์รุ่นไฟฟ้า all-electric ซึ่งจะตามมาด้วยปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ขุมพลังไฟฟ้า 100% all-electric นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ของรถสปอร์ต SUV รุ่นสำคัญที่มีส่วนนำพาปอร์เช่บรรลุเป้าหมายยอดส่งมอบรถยนต์ใหม่ โดยจะต้องเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า all-electric ในอัตราส่วนมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573

นอกจากนี้ ปอร์เช่ยังมีแผนที่จะขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้หลากหลายยิ่งขึ้น เริ่มจากรถยนต์ SUV all-electric ซึ่งอยู่ในตลาดที่เหนือกว่า คาเยนน์ (Cayenne) รถยนต์รุ่นใหม่นี้มีแนวทางการออกแบบดีไซน์ที่นำเสนอสมรรถนะระดับสูง และฟังก์ชั่นการขับขี่อัตโนมัติ โดยยังคงไว้ซึ่งรูปทรงอันเป็นอมตะสไตล์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตจากปอร์เช่ พร้อมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ด้วยภายในห้องโดยสารรูปแบบใหม่หมดจด รถยนต์รุ่นดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้ platform SSP Sport โดยปอร์เช่ “เรายังคงเน้นย้ำ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะรถสปอร์ต ที่เปี่ยมไปด้วยความหรูหรา เรากำลังอยู่ระหว่างการสำรวจอัตราการเติบโตของส่วนแบ่งผลกำไรใน รถยนต์กลุ่มนี้ โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา”


ปี 2566 ได้มีการเปิดตัว ปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) รุ่นปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของปอร์เช่ การอัพเกรดรถสปอร์ต SUV เจเนอเรชั่นที่ 3 นี้ รวมถึงการพัฒนาขุมพลัง plug-in hybrids ให้มีระยะเดินทางที่เพิ่มขึ้น ต้องขอบคุณระบบช่วงล่างใหม่ ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่สามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ เปี่ยมไปด้วย ดุลยภาพทั้งประสิทธิภาพ บนเส้นทาง on-road ที่แฟนปอร์เช่คุ้นเคย ความสะดวกสบายสำหรับการโดยสาร ระยะทางไกล รวมทั้งศักยภาพการบุกตะลุยบนเส้นทางทุรกันดารสไตล์off-road

นอกจากนั้นปอร์เช่ยังมีเป้าหมายที่แน่วแน่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบของแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อบรรลุโครงการ net carbon neutral ตลอดทั้ง value chain สำหรับกระบวนการ ผลิตรถยนต์ภายในปี 2573 ซึ่งรวมไปถึง net carbon neutral สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่จะตามมาในอนาคต (อ้างอิงจากสมมติฐานระยะทางรวม 200,000 กิโลเมตรต่อรถยนต์หนึ่งคัน) ในปี 2565 ที่ผ่านมา ปอร์เช่ได้ก่อตั้ง โรงงานนำร่องผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ e-fuels ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศชิลี โดยเริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่เดือนธันวาคม “ด้วยโรงงานดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่า น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ e-fuels สามารถผลิตขึ้นในเชิงของอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบได้” 


จากสถานการณ์ที่ดีเยี่ยม บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมนี ได้ประกาศถึงการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ด้วยการเสนอขายหุ้นแก่บุคคลทั่วไป หรือ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป (เมื่อพิจารณาในเชิงของมูลค่าตามราคาตลาด หรือ market capitalization) “ถึงขณะนี้เรากลายเป็นองค์กรที่ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น และเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การเข้าตลาดได้โดยอิสระนั้น ช่วยให้เราเพิ่มเติมเจ้าของกิจการได้อย่างเสรี เราจะสร้างเสริมความแข็งแกร่งโดยเน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าในหน่วยงานธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญ อาทิ เทคโนโลยี ซอฟแวร์ และแบตเตอรี่” Lutz Meschke กล่าว

นับตั้งแต่ผลสำเร็จของการออก IPO หุ้นของปอร์เช่มีทิศทางในแนวบวก เพียง 81 วันหลังเปิดตัวในตลาดหุ้น ในฐานะส่วนหนึ่งของ German DAX stock market index ผ่านกระบวนการ fast entry ราคาหุ้นดังกล่าวเพิ่มจากราคาเสนอขายที่ 82.50 ยูโร เป็น 114 ยูโร (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566)¹ มูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 108 พันล้านยูโร² “โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงสถานภาพอันแข็งแกร่งของแบรนด์รถสปอร์ตที่มุ่งเน้นสมรรถนะ และความหรูหราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะเดียวกัน เรายังคงสามารถเลือกสรรเอาข้อได้เปรียบต่าง ๆ ที่ได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของ Volkswagen Group มาใช้ บางสิ่งบางอย่างที่สร้างผลประโยชน์กับบรรดาผู้ถือหุ้นของเรา” Lutz Meschke อธิบาย ในปีงบประมาณ 2565 รายได้ต่อหุ้นสามัญอยู่ที่ 5.43 ยูโร และรายได้ต่อหุ้นบุริมสิทธิอยู่ที่ 5.44 ยูโร สำหรับปีงบประมาณ 2565 บอร์ดบริหารกำลังจะนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ประจำปี เพื่อจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนกว่า 911 ล้านยูโร เพิ่มเติมด้วยส่วนต่างของเงินปันผลสำหรับหุ้นบุริมสิทธิอีกถึงห้าล้านยูโร รวมเป็น 916 ล้านยูโร ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าเงินปันผล 1.00 ยูโร ต่อหุ้นสามัญ และ 1.01 ยูโร ต่อหุ้นบุริมสิทธิ


Porsche AG ยืนยันเป้าหมายขององค์กร ทั้งในระยะกลาง และระยะยาว “ในกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่ส่งผลกระทบรุนแรง เราคาดหมายถึงตัวเลขผลตอบแทนจากการดำเนินงานขายสำหรับปีงบประมาณ 2566 อยู่ในช่วงระหว่าง 17 ถึง 19 เปอร์เซ็นต์” Lutz Meschke กล่าว แนวทางนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานของรายได้จากการขายที่ตัวเลขประมาณ 40 - 42 พันล้านยูโร Lutz Meschke เสริมปิดท้ายว่า “ในระยะยาว เราตั้งเป้าตัวเลขผลตอบแทนจากการดำเนินงานขายเอาไว้มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์”

ปี 2566 ปอร์เช่มีวาระแห่งการเฉลิมฉลองที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ วาระครบรอบ 75 ปี ของบริษัท และวาระครบรอบ 60 ปี ของรถสปอร์ตปอร์เช่ 911 ในเดือนมิถุนายน บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตรายนี้ กำลังจะหวนกลับเข้าสู่สนามความเร็วสุดยิ่งใหญ่ รายการสุดคลาสสิก Le Mans 24 ชั่วโมง ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 100 นี่คืออีกครั้งที่ปอร์เช่จะลงสนามเพื่อไล่ล่าตำแหน่ง แชมเปี้ยน ด้วยรถแข่งปอร์เช่ 963 ที่พัฒนาขึ้นใหม่


กำลังโหลดความคิดเห็น