BMW XM Label Red รุ่นพิเศษพร้อมขุมพลังไฮบริด BMW M Hybrid V8 ที่รีดกำลังสูงสุดได้ 748 แรงม้า (HP) แรงขึ้นจาก BMW XM รุ่นปกติถึง 95 แรงม้า ตกแต่งภายนอกด้วยสีแดง Toronto Red ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน เตรียมเปิดตัวที่งานออโต้เซี่ยงไฮ้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
BMW XM Label Red ถูกวางให้เป็นรุ่นพิเศษที่อยู่เหนือกว่า BMW XM รุ่นปกติในปัจจุบันตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าในสหรัฐอเมริกา, จีนและตะวันออกกลางโดยเฉพาะ ชูจุดเด่นด้วยลูกเล่นสีแดง Toronto Red Metallic บริเวณกระจังหน้าทรงไตคู่, กรอบหน้าต่างพาดยาวมาถึงด้านข้างของประตู และล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ขณะที่ตัวกระจังหน้าและดิฟฟิวเซอร์ท้ายจะถูกตกแต่งด้วยสีดำ High-gloss
ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำตัดกับสีแดงเพื่อเพิ่มความสปอร์ต บริเวณเบาะนั่งแผงคอนโซลแผงประตูและช่องแอร์เสริมด้วยสัญลักษณ์ XM สีแดงบริเวณใต้หน้าจอควบคุม และแถบตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Satin Effect สีแดงและน้ำเงินเพื่อสะท้อนถึงความเป็นรถยนต์ตระกูล M อีกทั้งรถทุกคันจะถูกติดตั้งเพลตระบุว่า “1 of 500” แสดงถึงความลิมิเต็ดของรถรุ่นนี้
ห้องโดยสารของ BMW XM Label Red ยังถูกตกแต่งด้วยอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่น M ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่ง M multifuntion, หน้าจอ BMW Curved Display ที่สามารถแสดงผลแบบ M ได้, ก้านเปลี่ยนเกียร์แบบ M รวมถึงปุ่ม M Hybrid สำหรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ อีกทั้งยังถูกติดตั้งระบบปรับอากาศแบบ 4โ ซน, ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร Ambient Lighting และระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ที่สามารถเปลี่ยนเป็นระบบเสียง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System พร้อมแอมปลิฟายเออร์ 1,475 วัตต์ และลำโพงพิเศษอีก 4 ตัวบริเวณเพดาน
จุดเด่นสำคัญของ BMW XM Label Red อยู่ที่การปรับปรุงเครื่องยนต์ BMW M Hybrid V8ให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 748แรงม้า (HP) เพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติถึง 95 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตัน-เมตร เพิ่มจากรุ่นปกติ 200 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ 8 จังหวะ M Steptronic และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 3.8 วินาทีและจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 250 กม./ชม. หรือติดตั้งแพ็กเกจ M Driver’s Package ที่ปลดล็อกความเร็วสูงสุดเป็น 290 กม./ชม.ได้
ขณะที่แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนความจุ 25.7 kWh (ความจุที่สามารถใช้ได้จริง) ถูกติดตั้งไว้ใต้ท้องรถ สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกลสูงสุดราว 75 - 83 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และยังสามารถทำความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้าได้ 140 กม./ชม.โดยไม่ต้องใช้น้ำมันเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่ายังคงมาพร้อมกับเสียงคำรามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกับ Hans Zimmer จนกลายมาเป็นฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric นั่นเอง