ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทสลา (Tesla) ครองยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อว่าแบรนดังที่มี Elon Musk เป็นเจ้าของจะสามารถครองความยิ่งใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคนี้ได้อย่างยาวนาน เพราะบรรดาแบรนด์รถยนต์ดั้งเดิมกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ในการไล่ล่าผู้นำตลาด ซึ่งท้ายที่สุดก็จะตามทันและแซงหน้าไปได้อย่างแน่นอน
ปัจจุบัน จากการเปิดเผยตัวเลขล่าสุดด้านยอดขายช่วง 11 เดือนแรกของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองลุงแซม เทสลา ยังคงครองเป็นผู้นำอยู่ชนิดที่ทิ้งห่างเบอร์ 2 ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่าหลายสิ่งได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า บัลลังก์ของพวกเขากำลังสั่นคลอนเมื่อพิจารณาจากกราฟในเรื่องของอัตราการเติบโตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ฐานที่มั่นซึ่งกำลังสั่นคลอนเพราะการเติบโตของตลาด
S&P Global Mobility เปิดเผยรายงานที่น่าสนใจว่า สัดส่วนของตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ เทสลาในสหรัฐอเมริกาช่วง 3 ไตรสมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 65% ของตลาด แต่ทว่าเมื่อมองจากภาพรวมของปี 2020 และ 2021 แล้ว กลับลดลงถึง 79% และ 71% ตามลำดับ และเชื่อว่าภายในปี 2025 ส่วนแบ่งทางตลาดของเทสลา น่าจะลดลงเหลือต่ำกว่า 20% เท่านั้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทางเลือกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มีน้อยเหมือนกับช่วงเริ่มต้น และเทสลา ไม่ใช่แบรนด์เดียวที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งตรงนี้สอดคล้องและสัมพันธ์กับแนวทางและนโยบายของบริษัทรถยนต์ดั้งเดิมที่ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มสตาร์ทในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกขายในตลาดช่วงปี 2025 ซึ่งคาดว่าตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มจาก 48 รุ่นในปี 2022 มาเป็น 159 รุ่นในปีนั้นเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ หลายรุ่นที่มีราคาถูกกว่า
แน่นอนว่าแนวโน้มและทิศทางที่ส่วนแบ่งที่ลดลงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา เป็นสิ่งที่สามารถคาดการได้ และดูเหมือนว่าแบรนด์ก็รับรู้ในความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ เพียงแต่ทว่าในตอนนี้ทางออกของปัญหายังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าจะรับมือกันอย่างไร แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อเทสลาและส่งผ่านต่อไปยังราคาหุ้นที่อาจจะลดลงกว่าที่เป็นอยู่นั่นคือ 180 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น
S&P รายงานว่าเทสบา กำลังค่อยๆ สูญเสียฐานที่มั่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ให้กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่คาดว่าจะมีราคาขายต่ำกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยที่เทสลาไม่สามารถแข่งขันกับตลาดที่หันมาเน้นเรื่องของกลยุทธ์ด้านราคาได้อย่างแท้จริง โดยรถยนต์รุ่น Model 3 ของพวกเขามีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 48,200 เหรียญสหรัฐฯ
“ตำแหน่งและสถานะของเทสลาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนไปเมื่อมีตัวเลือกใหม่ๆ ราคาย่อมเยาว์เข้ามา พร้อมกับการนำเสนอเทคโนโลยีและการผลิตที่ทัดเทียมหรือดีกว่า” S&P กล่าวในรายงาน “จริงอยู่ที่ตลาดกำลังเติบโตขึ้น เพราะจำนวนผู้บริโภคที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าตัวเลือกที่ผู้บริโภคจะหยิบมาพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น นี่แหละคือความท้าทายใหม่ที่เทสลาจะต้องเผชิญและรักษาตำแหน่งผู้นำของเขาในตลาดกลุ่มนี้เอาไว้ให้ได้’
การแก้เกมของเทสลา กับโอกาสที่ยังมีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมมองหนึ่งของนักวิเคราะห์ ก็ยังมีคนที่เชื่อว่าเทสลาจะสามารถผ่านมรสุมลูกนี้ไปได้เมื่อมองในแง่ของภาพรวมตัวเลขยอดขายมากกว่าส่วนแบ่งในตลาด เพราะการปรับตัวและการวางแผนเอาไว้เพื่อรับมือในเรื่องนี้
ในเรื่องของการแก้เกมนั้น มีรายงานจาก Reuter ระบุออกมาว่าในตอนนี้ทางเทสลา กำลังปรับให้รถยนต์รุ่น Model 3 มีเวอร์ชันใหม่ที่มีราคาถูกลง และเป็นรุ่น Entry-Level ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเป็นการแก้เกมลยุทธ์ในด้านการตัดราคา โดยเวอร์ชันใหม่ของ Model 3 จะเรียกว่าเป็นการลดสเป็กและตัดอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยและมีราคาแพงออกไป เพื่อให้ผู้บริโภคอีกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ และเชื่อว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าลักษณะนี้ออกมาอีกเพื่อรักษาฐานที่มั่นในด้านยอดขายของตัวเองเอาไว้ ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับแผนการที่ Musk ได้เคยประกาศออกมาเมื่อปี 2020 แล้วว่า พวกเขาจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่แพง สามารถเข้าถึงได้วางจำหน่ายด้วย
เมื่อมองจากภาพรวมโดยใช้ปี 2022 เป็นจุดเริ่มต้น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกายังเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้นั้นมีเพียงแค่ 5.1% เท่านั้นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรือมีจำนวนอยู่ที่ 525,000 คันจากยอดรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนทั้งหมด 10.22 ล้านคัน แต่ตัวเลขนี้ก็ถือว่าเป็นการขยับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 แล้วมีตัวเลขแค่ 334,000 คัน หรือมีส่วนแบ่ง 2.8% ของตลาดทั้งหมด อีกทั้ง 65% ของยอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่เป็นแบรนด์ เทสลา เท่านั้น ส่วนอีก 35% เป็นการผสมกันไปของแบรนด์รถยนต์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดซึ่งรวมแล้วมีมากกว่า 46 รุ่น
เป้าหมายของฟอร์ด กับสิ่งที่ เทสลา ต้องระวัง
แน่นอนว่า ฟอร์ด ภายใต้การบริหารของ Jim Farley ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่า พวกเขาจะต้องขยับขึ้นไปเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในตลาดสหรัฐอเมริกาให้ได้ภายในปี 2023 ดูจะเป็นแผนที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อมองจากตัวเลขแล้ว ฟอร์ด จะต้องมีอะไรที่มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถถีบตัวเองขึ้นไปจากยอดขายหลักหมื่นไปเป็นหลักแสนคันต่อปี
ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ฟอร์ด มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 53,752 คันหรือมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 7.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวของปี 2021 เรียกว่าแม้ยอดขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่องและมีตัวเลขที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไร แต่ทว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีตัวเลขที่ช่วยทำให้ชื่นใจ
อย่างไรก็ตาม จากคำประกาศของ Farley นั้น เชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีอะไรที่เป็นทีเด็ดรออยู่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการขยับช่องว่างเพื่อหายใจรดต้นคอของ เทสลาซึ่งหลายคนเชื่อว่าพวกเขาจะใช้เวอร์ชันพลังไฟฟ้าของ F-Series มาเป็นตัวสร้างยอดขาย ด้วยการเปลี่ยนจากยอดขายในเวอร์ชันเครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นเวอร์ชันพลังไฟฟ้า เพราะอย่าลืมว่านี่คือปิกอัพที่มียอดขายสูงสุดในตลาดสหรัฐอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างมาก และในตอนนี้ได้มีการปรับไลน์ผลิตของโรงงานในมิชิแกนเพื่อรองรับกับการผลิตเวอร์ชันพลังไฟฟ้าของ F-150 แล้ว
ถ้าฟอร์ดทำได้ นี่คือ อีกประเด็นที่เทสลาอาจจะต้องกังวลในเรื่องสถานะความเป็นผู้นำของตัวเอง
สุดท้ายแล้ว เชื่อว่าเทสลา ต้องมีแผนเอาไว้แก้ปัญหาเหล้านี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แล้วเทสลา จะใช้กลยุทธ์อะไรในการรักษาช่องว่างด้วยสเต็ปการวิ่งที่เท่าเดิมเพื่อคงระยะห่างกับหมายเลข 2 เอาไว้ เชื่อว่า Musk และทีมงานคงต้องทำงานกันอย่างหนักตลอดช่วง 2 ปีนี้ก่อนเข้าสู่ปี 2025 อย่างแน่นอน