xs
xsm
sm
md
lg

BMW โชว์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในงาน “Sustainability through Innovation 2022” ลดใช้พลังงาน รักษ์สิ่งแวดล้อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ความยั่งยืน" คือสิ่งที่บีเอ็มดับเบิลยูให้ความสำคัญไม่แพ้ความล้ำหน้าและสุนทรียภาพในการขับขี่ ต่อไปนี้คือนวัตกรรมที่เราคัดสรรมาเล่าให้ฟังจากงาน “Sustainability through Innovation 2022” ซึ่งนำเสนอแนวคิดและเทคโนโลยีที่บีเอ็มดับเบิลยูนำมาใช้ เพื่อบรรลุเป้าการลดใช้พลังงานและทรัพยากร สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และคุณภาพชีวิต

1. แบตเตอรี่ทรงกลมสำหรับรถ NEUE KLASSE


บีเอ็มดับเบิลยูมีแผนใช้แบตเตอรี่ทรงกลมใหม่กับรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่ม NEUE KLASSE ที่จะเปิดตัวในปี 2025 แบตเตอรี่ทรงกลมนี้ เป็นนวัตกรรมล่าสุด ใช้สถาปัตยกรรมแบบใหม่ ทำให้เก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น 20% ชาร์จเร็วขึ้น 30% และวิ่งได้ไกลขึ้น 30% (ตามมาตรฐาน WLTP) นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตยังต่ำกว่าการผลิตแบตเตอรี่แบบเดิมมากกว่า 50% ที่สำคัญช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 60% เทียบกับการผลิตเซลล์แบตเตอรี่รุ่นปัจจุบัน

2. เครื่องหนังวีแกน


บีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วมมือกับบริษัท Adriano di Marti สตาร์ทอัปสัญชาติเม็กซิกัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการผลิตหนังทางเลือกด้วยวัตถุดิบชีวภาพ เร็ว ๆ นี้จะมีการนำวัสดุ Mirum ซึ่งผลิตจากเส้นใยพืชและรีไซเคิลได้ 100% และ DeserttexTM ซึ่งได้จากเส้นใยต้นกระบองเพชรและโพลิยูรีเทนชีวภาพ มาใช้หุ้มพวงมาลัยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูบางรุ่น

วัสดุเหล่านี้มีคุณสมบัติใกล้เคียงหนังแท้ มีความนุ่ม แต่แข็งแรง และยืดหยุ่น ให้ความรู้สึกพรีเมียมไม่ต่างจากเดิม การเลือกใช้วัสดุทดแทนหนังจะทำให้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหนึ่งคันมีชิ้นส่วนที่มาจากสัตว์ไม่ถึง 1% และถ้าเทียบกับฟาร์มปศุสัตว์แล้ว ฟาร์มกระบองเพชรรักษ์โลกมากกว่าหลายเท่า เพราะการเลี้ยงกระบองเพชร นอกจากจะใช้น้ำน้อยแล้ว ต้นกระบองเพชรยังช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วย แถมไม่ปล่อยก๊าซมีเทนเหมือนทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ หนังที่ได้ก็ไม่ต้องนำมาฟอก ไม่เกิดน้ำเสียให้ต้องบำบัด รวม ๆ แล้วทั้งกระบวนการผลิตปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาน้อยกว่าการผลิตหนังแบบเดิมถึง 85% ทีเดียว

3. พลาสติกจากซากอวน


ด้วยความตั้งใจที่จะลดปริมาณขยะและไมโครพลาสติกในทะเล บีเอ็มดับเบิลยูจึงมุ่งมั่นคิดค้นวัสดุใหม่จากขยะ ซึ่งนำมาสู่การนำอวนหาปลาเก่าและขยะไนลอนจากอุตสาหกรรมประมง มารีไซเคิลเป็นวัสดุใหม่ที่เรียกว่า ECONYL หลายคนได้สัมผัสแล้วในรูปแบบของพรมปูพื้นใน BMW iX และ The New BMW X1


เม็ดพลาสติกรีไซเคิลจะถูกนำมาฉีดขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนทั้งภายนอกและภายในของ BMW รุ่น NEUE KLASSE ในสัดส่วนประมาณ 20% ของวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถทั้งคัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2030

ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้ นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะในทะเลแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกประมาณ 25% เทียบกับการผลิตเม็ดพลาสติกแบบเดิม

4. เบาะนั่งจากวัสดุรีไซเคิล

เพราะผิวสัมผัสของเบาะนั่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้บรรยากาศของผู้ขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยูจึงมุ่งพัฒนาเบาะนั่งที่มอบความสุนทรีย์ทั้งด้านรูปทรง และวัสดุศาสตร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพยายามใช้ประโยชน์จากวัสดุรีไซเคิล จนได้เบาะนั่งต้นแบบออกมา ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ อาทิ


3D Knit Seat Concept เป็นเบาะนั่งที่ผลิตขึ้นจากวัสดุรีไซเคิล 100% นำมาทอด้วยวิธี 3 มิติ จนแทบไม่มีของเสียจากการผลิต ใช้เวลาน้อยกว่ากระบวนการผลิตทั่วไป ตัวเบาะมีคุณภาพสูง เนื้อผ้าให้ความนุ่มสบาย มีลวดลายสวยงาม และไร้ตะเข็บ


Infinite Loop Seat Concept เป็นเบาะนั่งที่ผลิตด้วยเส้นใยสังเคราะห์จากวัสดุรีไซเคิล ใช้น้ำในการผลิตน้อยกว่าการปั่นฝ้ายประมาณ 98% และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 80% เทียบกับการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ โครงทำด้วยวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมพลาสติกหรือโฟมจากเบาะรถยนต์เก่าที่หมดอายุการใช้งาน ส่วนตัวพนักพิงเป็นวัสดุคอมโพสิตที่ได้จากขยะโพลีสไตรีน ช่วยลดปริมาณขยะและประหยัดทรัพยากร


Grown Innovation Seat Concept เป็นเบาะนั่งที่ผสมผสานระหว่างวัสดุสังเคราะห์ที่ได้จากการรีไซเคิลกับเส้นใยธรรมชาติและวัสดุชีวภาพชนิดใหม่ที่ได้จากแบคทีเรียนาโนเซลลูโลส พื้นผิวเบาะเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตด้วยกระบวนการพิมพ์ 3 มิติ ตอบสนองจินตนาการของนักออกแบบได้อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งรูปทรงและสีสัน ส่วนพนักพิงที่เป็นลายไม้ ผลิตจากเส้นใยพืชโตเร็วที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ

5. เทคโนโลยี EfficientDynamics


บีเอ็มดับเบิลยูเปิดตัวเทคโนโลยี EfficientDynamics มาตั้งแต่ปี 2007 มีเป้าหมายลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยยังคงไว้ซึ่งสุนทรียภาพในการขับขี่ พูดง่าย ๆ คือ แรงเหมือนเดิม หรือแรงกว่า แต่รักษ์โลกมากขึ้น

BMW EfficientDynamics เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการจัดการพลังงานและความร้อน การออกแบบแอโรไดนามิกส์ การลดแรงเสียดทานในชิ้นส่วนต่าง ๆ การลดน้ำหนักโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงน้ำหนักเบา ทั้งหมดนี้ทำให้รถยนต์ของ BMW ลดการปล่อย CO2 ลงได้ 53% เทียบกับรถที่ถูกผลิตขึ้นในช่วงปี 1995 ถึง 2020


ปัจจุบันแนวคิด BMW EfficientDynamics ยังคงถูกนำมาใช้แม้จะเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า BMW iX xDrive50 สร้างสถิติใหม่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า Sports Activity Vehicle (SAV) ที่ทดสอบโดยนิตยสาร Edmunds โดยใช้พลังงานเพียง 21.1–20.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร ในขณะที่ BMW i4 M50 ก็ใช้พลังงานเพียง 22.5–18.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร

ยังมีเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับ BMW ติดตามได้ที่เว็บไซต์ BMW Thailand , Facebook : BMW Thailand และ Youtube : BMW Thailand

#BMW #BMWTH #Sustainability #JOYisBMW #สุนทรียภาพแห่งการขับขี่
กำลังโหลดความคิดเห็น