xs
xsm
sm
md
lg

กดสุด ทั้งสนามแข่ง-ทางโคลน Lamborghini Urus Performante

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศถูกจำกัด แต่เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย หลายประเทศพร้อมเปิดให้เดินทางได้อย่างอิสระรวมถึงประเทศอิตาลีด้วย ดังนั้น ลัมโบกินี่ จึงได้จัดกิจกรรมให้ทดลองขับเอสยูวีที่ได้ชื่อว่าแรงที่สุดในโลกอย่าง Urus Performante ณ สนามแข่งรถชื่อ Vallelunga แห่งกรุงโรม


สำหรับ Urus ได้ชื่อว่าเป็นตัวทำยอดขายหลักของ ลัมโบกินี่ นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2018 นับเป็นการสร้างมิติใหม่ของซูเปอร์คาร์ โดยชื่อของ Urus มีที่มาจากวัวป่าสายพันธุ์หนึ่งที่คล้ายกับวัวกระทิงของสเปน ปัจจุบันผ่าน 9 เดือนแรกของปีนี้ Urus มียอดส่งมอบทั่วโลก 7,430 คัน (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมียอด 6,902 คัน) ถือเป็นสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ตลอดกาล ทุบทุกสถิติเดิม

แม้ว่าจะทำยอดขายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำแล้ว แต่ทางลัมโบกินี่ ยังไม่หยุดนิ่ง ได้เปิดตัว Urus Performante ตัวอัพเกรดเพิ่มความแรงและลดน้ำหนักตัวด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาจากสนามแข่ง อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราได้มาทดลองขับที่ประเทศอิตาลีในคราวนี้ ส่วนจะแตกต่างจากรุ่นปกติมากน้อยเพียงใดติดตามกันได้




แรงม้าเพิ่ม น้ำหนักเบาลง

ประเด็นสำคัญของรุ่น Performante แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นรถสมรรถนะสูง โดยการปรับปรุงเพิ่มพลังอาศัยการลดน้ำหนักเป็นหลักและปรับจูนระบบขับเคลื่อนอีกนิดหน่อย โดยมีการปรับเครื่องยนต์และเกียร์ใหม่ ทำให้ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็น 666 แรงม้า(มากกว่ารุ่นมาตรฐาน 16 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร


สำหรับหัวใจในการลดน้ำหนักมาจากการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนสำคัญไม่ว่าจะเป็น วัสดุภายใน, ชิ้นส่วนเครื่องยนต์, ฝากระโปรงหน้า และสปอยเลอร์รอบคันที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุคาร์บอนเคฟร่า โดยลดน้ำหนักรวมลงไปได้มากถึง 47 กิโลกรัม ทำให้แรงม้าต่อน้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 3.2 กิโลกรัม/แรงม้า ดีกว่ารุ่นมาตรฐานที่มีสัดส่วน 3.4 กิโลกรัม/แรงม้า


เมื่อหันมามองผลลัพธ์ด้านสมรรถนะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.3 วินาที ดีขึ้นถึง 0.3 วินาที เมื่อเทียบกับ Urus ปกติ อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลา 11.5 วินาที (รุ่นปกติ12.8 วินาที) ความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม. และระยะเบรกจาก ความเร็ว 100-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 32.9 เมตร เท่านั้น


เฉพาะชิ้นส่วนสปอยเลอร์หลังมีการออกแบบใหม่สร้างแรงกดอากาศได้มากขึ้นถึง 38% และโดยภาพรวมของทั้งคันมีแรงกดอากาศเพิ่มขึ้นอีก 10% เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ ขณะที่ยางมีการเปลี่ยนใหม่เพื่อช่วยทั้งการลดน้ำหนักและสมรรถนะในการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้นโดยหันมาใช้ยาง Pirelli Trofeo R


เป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่ชื่อว่า Rally มีเอาไว้สำหรับการลุยทางฝุ่นโดยเฉพาะ พร้อมกับปรับเปลี่ยนเสียงของท่อไอเสียใหม่ ฟังแล้วดุดันมากกว่าเดิม เบาะนั่งเป็นหนังแท้ อัลคันทาร่า ที่ได้รับการคัดสันเป็นพิเศษแตกต่างจากตัวอื่นๆ ซึ่งต้องสัมผัสด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจว่าเนียนเพียงใด




















ครบทั้งทางเรียบ-ทางโคลน

วันก่อนหน้าที่เราจะเดินทางเข้าร่วมทดสอบ Urus Performante ทีมงานบอกว่าฟ้าสดใส พื้นสนามอุณหภูมิกำลังเหมาะ ส่วนสนามที่ลองขับออฟโรดแห้งสนิทเป็นทางฝุ่นรับรองว่าขับสนุกและได้เห็นถึงสมรรถนะของรถแบบเต็มที่อย่างแน่นอน แต่แล้วเช้าวันที่เป็นคิวในการขับขี่ของเรา ฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักตั้งแต่เช้ามืด จนกระทั่งเรามาถึงสนามแข่งสำหรับทดสอบ ฝนแม้จะเบาลงแล้วแต่ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง

ทีมงานลัมโบกินี่ปรึกษากันว่า จะขับได้หรือไม่ และให้ขับกันอย่างไรดี สุดท้ายตัดสินใจให้เราขับตามโปรแกรมแต่ลดความเร็วและจำนวนรอบลง ผู้เขียนได้รับเกียรติให้ขับเป็นคนที่สอง ขับตามทีมงาน ความเร็วที่ใช้ช่วงทางตรงได้สูงสุด 140 กม./ชม. โดยเป็นการขับ 4 รอบสนามท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ


สิ่งที่เราสัมผัสได้จากการขับ 4 รอบนี้ นอกจากความแรงที่พร้อมพุ่งพล่านในทุกย่านความเร็ว และเสียงของท่อไอเสียที่คำรามเร้าใจแล้ว เรายังได้รับรู้ถึงสมรรถนะในการยึดเกาะถนนท่ามกลางถนนที่เปียกลื่นในทุกพื้นผิว Urus Performante เกาะถนนอย่างมั่นใจ บางช่วงที่เราเข้าโค้งด้วยความเร็ว คาดว่าน่าจะต้องลื่นบ้างแต่กลับกลายเป็นว่า ยังยึดเกาะได้ดี แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความเร็วที่สูงมากเกินหรือเทียบเท่าพื้นผิวแห้ง

หลังจากนั้น ผู้เขียนได้ไปขับแบบออฟโรดต่อเป็นกลุ่มแรก และเป็นคนแรกของคิวในการลองขับด้วย รอบแรกเป็นการขับลองผิวสนาม บอกได้คำว่า “โคลน” โดยเฉพาะในจุดที่เป็นทางโค้ง ความคาดหวังว่าจะได้เห็นฝุ่นหายไปสิ้น แต่กลายเป็นความตื่นเต้นที่จะได้ลองสไลด์ในโคลนดู แม้จะแอบเสียวอยู่มิใช่น้อย เพราะหากพลาดหลุดออกนอกทางนั่นหมายความว่า “คว่ำ” อย่างไม่ต้องสงสัย


รอบแรกผ่านไป รอบสองเราใช้ความเร็วมากขึ้น โดยเป็นการเปิดโหมด Rally ตลอดการขับเพราะระบบนี้จะช่วยจัดการกับการกระจายแรงบิดให้เหมาะสม เมื่อขับมาถึงโค้งหักศอกโคลนหนาๆ ตั้งใจว่าจะเข้าเบาๆ หวังว่าจะไม่สไลด์แต่ทันทีที่กดคันเร่งเพื่อออกตัวในช่วงกลางโค้ง สัมผัสได้ถึงอาการสลิป มีแอบตกใจเล็กน้อย แต่ควบคุมอยู่มืออย่างมั่นใจ ระบบช่วยได้ดีจริง รอบสุดเติมความเร็วเพิ่มขึ้นอีก ตัวรถยังเกาะผิวดินลื่นๆ ได้อย่างดี หากถามว่าขับเร็วกว่านี้ได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่เราไม่มั่นใจตัวเองมากกว่า

จบ 2 ภารกิจหลักในการขับ ทีมงานแจ้งว่า ช่วงบ่ายฝนน่าจะหยุดตกและน่าจะได้ลองขับแบบถนนแห้ง ซึ่งเหมือนเวทมนต์แห่งวงการมายา เราได้กลับมาประจำการหลังพวงมาลัยอีกครั้ง หลังฝนหยุด แต่ผิวสนามแข่งยังมีน้ำเคลือบผิวอยู่บ้าง โอกาสทองของการได้ลองเต็มๆ กลับมาแล้ว


รอบนี้ เหมือนรถนำรู้ความต้องการของผู้เขียน อัดเต็มเหนี่ยวช่วงทางตรงความเร็วสูงสุดทะลุเกิน 200 กม./ชม. (ย้ำ ผิวแทร็คยังเปียก) ตัวรถทรงตัวนิ่งดีมาก มั่นใจไร้กังวล ช่วงการขับเข้าโค้งเลือกแบบนักแข่ง (racing line) ทำความเร็วได้สูงกว่าเดิม การเกาะถนนดีเยี่ยม รวมถึงระบบเบรกที่เอาอยู่ในทุกจังหวะ หลายครั้งที่เราต้องเบรกหนักก่อนเข้าโค้ง รถไม่เสียการทรงตัวเลย พวงมาลัยควบคุมได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ

สุดท้ายหลังจากที่สื่อร่วมทริปได้ขับครบถ้วนแล้ว เรามีรอบแถมพิเศษ ผิวแทร็คแห้งสนิท แดดออก จึงขอลองอีกครั้ง หมายมั่นปั้นมือว่าจะขับให้เต็มสมรรถนะที่สุด แต่ทีมงานเดาใจเราออกอีกครั้ง จัดรถนำรอบนี้ไม่บู๊เท่ารอบก่อน ความเร็วสูงสุดที่เราทำได้ไม่ถึง 200 กม./ชม. แต่ได้ลองเข้าโค้งแรงๆ เจอแรงเหวี่ยงแต่ไม่ได้ยินเสียงยาง มีแต่เสียงคำรามของท่อไอเสีย


เรียกว่าทุกรอบที่ขับไม่มีความรู้สึกหวาดเสียวว่าจะหลุดโค้งหรือเสียการทรงตัว มีแต่อดีนาลีนหลั่งเพราะการกดคันเร่งแล้วรถพุ่งเหมือนวาร์ปไปข้างหน้า ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ ยังไม่เคยเจอในรถเอสยูวีรุ่นใด ถ้าจะมีใกล้เคียงคงเป็น ปอร์เช่ คาเยนน์ เทอร์โบ เอส ส่วนแอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์ เราได้ลองขับเพียงระยะทางสั้นๆ บนถนนจริง มิได้ลองความแรงแบบเต็มสมรรถนะเช่นนี้ จึงมิอาจเปรียบเทียบได้


ทั้งนี้ ยอมรับโดยตรงว่า ก่อนได้ลองขับ Urus ผู้เขียนเคยจินตนาการว่า ด้วยแพลตฟอร์มเดียวกันจะแตกต่างจากเพื่อนร่วมเครือได้แค่ไหน แต่เมื่อได้ลองขับจริง ความคิดดังกล่าวถูกลบทิ้งอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับไปหาคำตอบจากหัวหน้าทีมวิศวกรมาให้ว่า เขาทำได้อย่างไร

“เปรียบเหมือนคุณไปซูเปอร์มาร์เก็ต มีวัตถุดิบและเครื่องปรุงให้เลือกสรรมากมาย แล้วแต่ว่าคุณจะหยิบอะไรมา ซึ่งเราหยิบเฉพาะของสุดยอด และต้องไม่ลืมว่า แม้ทุกอย่างเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างที่สุดคือ เชฟของเรามีชื่อว่า Lamborghini ฉะนั้นการปรุงแต่ง ผสมผสาน ทุกสิ่งอย่างให้ออกมาลงตัวในแบบฉบับของ Lamborghini จึงเป็นลายเซ็นที่ไม่มีใครเหมือน”


เหมาะกับใคร

Lamborghini Urus Performante คาดว่าจะเปิดตัวทำตลาดในไทยเร็วๆ นี้ ค่าตัวจะต้องแพงกว่ารุ่นปกติอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เชื่อเราได้ว่า คุ้มค่าแน่นอน แม้จะยังไม่ทราบราคา เพราะปัจจุบันตลาดซูเปอร์คาร์ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่ความต้องการซื้อมีมากกว่าจำนวนรถที่จำหน่าย ยิ่งเป็นรุ่นพิเศษแบบนี้ โอกาศที่ซื้อมาแล้วจะทำกำไรเมื่อขายต่อ มีความเป็นไปได้






























กำลังโหลดความคิดเห็น