ปัจจุบันทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก โดยตั้งเป้าไว้ที่ Zero Emission ลดมลพิษลดปริมาณคาร์บอนให้เป็นศูนย์ เพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน ลดอาการโลกรวน ที่นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ BMW ก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าว เริ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960 วันนี้เราจะนั่งไทม์แมชชีนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน เพื่อทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นยานยนต์ไฟฟ้าของ BMW
ช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นยุคที่อุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟูทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือเกิดมลภาวะขั้นรุนแรง ภาครัฐของทั้งยุโรปและอเมริกาจึงพร้อมใจกันออกมาตรการต่าง ๆ มาควบคุม และนั่นกระตุ้นให้ BMW ริเริ่มโครงการนำร่องในปี 1969 วิจัยและพัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์แทนน้ำมัน รถทดลองคันแรกเป็นรถ BMW 1602 ซึ่งเป็นรุ่นที่ฮิตมากในตอนนั้น ถอดเครื่องยนต์กับถังน้ำมันทิ้ง แล้วใส่แบตเตอรี่ Varta ขนาด 12 โวลต์ 12 ก้อนเข้าไปแทน เกียร์ถูกเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าจาก Bosch กำลังสูงสุด 32 กิโลวัตต์ ขับเคลื่อนล้อหลัง
งานวิจัยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 1972 เยอรมนีได้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิก พร้อม ๆ กับอาคารลูกสูบ (Vierzylinder) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ BMW ก็สร้างเสร็จพอดี BMW จึงใช้โอกาสนี้เปิดตัว BMW 1602 Electric จำนวน 2 คัน เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับคณะกรรมการจัดงาน รวมถึงใช้เป็นรถสำหรับถ่ายทอดสดการแข่งขันนอกสถานที่ ด้วยข้อดีที่ไม่ปล่อยมลพิษสู่นักกีฬา
BMW 1602 Electric วิ่งได้ 60 กิโลเมตรต่อชาร์จ อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ใน 8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กม./ชม. อย่างไรก็ตามระยะทาง 60 กิโลเมตรต่อชาร์จ บวกกับน้ำหนักแบตเตอรี่ 350 กิโลกรัม ทำให้ BMW 1602 Electric ยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้จริง จึงไม่มีการผลิตออกจำหน่าย แต่นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของ BMW
ช่วงปี 1975-1992 BMW ทุ่มให้กับการวิจัยและทดสอบรถรุ่นต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม BMW LS ที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียมซัลไฟด์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อน จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น BMW E1 เปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 1991
แฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 2009 BMW เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบระบบไฮบริดพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ BMW ActiveHybrid 7 และ BMW ActiveHybrid X6 SAC แต่เพราะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในตอนนั้นยังไม่มีสมรรถนะและประสิทธิภาพมากพอ ทั้งสองรุ่นจึงเป็นได้เพียงคอนเซ็ปต์คาร์ ไม่มีการผลิตออกจำหน่ายอีกเช่นกัน
ถัดมาในปี 2010 BMW เปิดตัว BMW Concept ActiveE ต้นแบบรถยนต์ภายใต้โปรเจกต์ Megacity Vehicle (MCV) ซึ่งนำไปสู่การเปิดตัว BMW i3 ในเวลาต่อมา
ปี 2013 BMW เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับแบรนด์ใหม่ "BMW i" ภายใต้สโลแกน "Born Electric" พร้อมกับเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ BMW i3 ที่โครงสร้างส่วนใหญ่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) น้ำหนักเบา วิ่งได้ไกล 130-160 กิโลเมตรต่อชาร์จ พร้อม ๆ กับแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กลง
ปี 2014 BMW ปล่อย BMW i8 ออกสู่ตลาดในฐานะซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก ก่อนจะปล่อยเวอร์ชันโรดสเตอร์ตามออกมาในปี 2018 ซึ่งทั้งสองรุ่นเป็นการพัฒนาต่อยอดจากคอนเซ็ปต์คาร์ BMW Vision EfficientDynamics
ปี 2019 BMW แสดงให้โลกเห็นถึงความล้ำหน้าไปอีกขั้นของเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cell) ในรถ BMW i Hydrogen NEXT และอีกสองปีต่อมา BMW iX5 Hydrogen ที่ใช้งานได้จริงก็เปิดตัวครั้งแรกในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 2021
ปี 2021 BMW ยังเปิดตัว BMW i Vision Circular ต้นแบบรถคอมแพกต์คาร์แห่งอนาคตด้วย เป็นรถต้นแบบที่พัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์หรูหรา (Luxury) และรักษ์โลก (Sustainability) ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล 100% และนำไปรีไซเคิลได้ 100% ซึ่งรถยนต์ในอนาคตของ BMW จะผลิตขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์นี้
ล่าสุดปี 2022 BMW ส่งทัพยานยนต์ไฟฟ้าร่วมโชว์ตัวในงาน European Championships Munich 2022 นำโดย BMW 1602 Electric ตามด้วย BMW iX, BMW i4, BMW iX3, BMW i7, BMW iX1 และรุ่นอื่นๆ อีกมากมาย
ยังมีเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับ BMW ติดตามได้ที่เว็บไซต์ BMW Thailand , Facebook : BMW Thailand และ Youtube : BMW Thailand
#BMW #BMWTH #BMWi #BornElectric #JOYisBMW #สุนทรียภาพแห่งการขับขี่
ช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นยุคที่อุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟูทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือเกิดมลภาวะขั้นรุนแรง ภาครัฐของทั้งยุโรปและอเมริกาจึงพร้อมใจกันออกมาตรการต่าง ๆ มาควบคุม และนั่นกระตุ้นให้ BMW ริเริ่มโครงการนำร่องในปี 1969 วิจัยและพัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์แทนน้ำมัน รถทดลองคันแรกเป็นรถ BMW 1602 ซึ่งเป็นรุ่นที่ฮิตมากในตอนนั้น ถอดเครื่องยนต์กับถังน้ำมันทิ้ง แล้วใส่แบตเตอรี่ Varta ขนาด 12 โวลต์ 12 ก้อนเข้าไปแทน เกียร์ถูกเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าจาก Bosch กำลังสูงสุด 32 กิโลวัตต์ ขับเคลื่อนล้อหลัง
งานวิจัยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 1972 เยอรมนีได้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิก พร้อม ๆ กับอาคารลูกสูบ (Vierzylinder) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ BMW ก็สร้างเสร็จพอดี BMW จึงใช้โอกาสนี้เปิดตัว BMW 1602 Electric จำนวน 2 คัน เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับคณะกรรมการจัดงาน รวมถึงใช้เป็นรถสำหรับถ่ายทอดสดการแข่งขันนอกสถานที่ ด้วยข้อดีที่ไม่ปล่อยมลพิษสู่นักกีฬา
BMW 1602 Electric วิ่งได้ 60 กิโลเมตรต่อชาร์จ อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ใน 8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กม./ชม. อย่างไรก็ตามระยะทาง 60 กิโลเมตรต่อชาร์จ บวกกับน้ำหนักแบตเตอรี่ 350 กิโลกรัม ทำให้ BMW 1602 Electric ยังไม่เหมาะที่จะนำมาใช้จริง จึงไม่มีการผลิตออกจำหน่าย แต่นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของ BMW
ช่วงปี 1975-1992 BMW ทุ่มให้กับการวิจัยและทดสอบรถรุ่นต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม BMW LS ที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียมซัลไฟด์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อน จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น BMW E1 เปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 1991
แฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 2009 BMW เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบระบบไฮบริดพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ BMW ActiveHybrid 7 และ BMW ActiveHybrid X6 SAC แต่เพราะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในตอนนั้นยังไม่มีสมรรถนะและประสิทธิภาพมากพอ ทั้งสองรุ่นจึงเป็นได้เพียงคอนเซ็ปต์คาร์ ไม่มีการผลิตออกจำหน่ายอีกเช่นกัน
ถัดมาในปี 2010 BMW เปิดตัว BMW Concept ActiveE ต้นแบบรถยนต์ภายใต้โปรเจกต์ Megacity Vehicle (MCV) ซึ่งนำไปสู่การเปิดตัว BMW i3 ในเวลาต่อมา
ปี 2013 BMW เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับแบรนด์ใหม่ "BMW i" ภายใต้สโลแกน "Born Electric" พร้อมกับเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ BMW i3 ที่โครงสร้างส่วนใหญ่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) น้ำหนักเบา วิ่งได้ไกล 130-160 กิโลเมตรต่อชาร์จ พร้อม ๆ กับแบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กลง
ปี 2014 BMW ปล่อย BMW i8 ออกสู่ตลาดในฐานะซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก ก่อนจะปล่อยเวอร์ชันโรดสเตอร์ตามออกมาในปี 2018 ซึ่งทั้งสองรุ่นเป็นการพัฒนาต่อยอดจากคอนเซ็ปต์คาร์ BMW Vision EfficientDynamics
ปี 2019 BMW แสดงให้โลกเห็นถึงความล้ำหน้าไปอีกขั้นของเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cell) ในรถ BMW i Hydrogen NEXT และอีกสองปีต่อมา BMW iX5 Hydrogen ที่ใช้งานได้จริงก็เปิดตัวครั้งแรกในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 2021
ปี 2021 BMW ยังเปิดตัว BMW i Vision Circular ต้นแบบรถคอมแพกต์คาร์แห่งอนาคตด้วย เป็นรถต้นแบบที่พัฒนาขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์หรูหรา (Luxury) และรักษ์โลก (Sustainability) ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล 100% และนำไปรีไซเคิลได้ 100% ซึ่งรถยนต์ในอนาคตของ BMW จะผลิตขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์นี้
ล่าสุดปี 2022 BMW ส่งทัพยานยนต์ไฟฟ้าร่วมโชว์ตัวในงาน European Championships Munich 2022 นำโดย BMW 1602 Electric ตามด้วย BMW iX, BMW i4, BMW iX3, BMW i7, BMW iX1 และรุ่นอื่นๆ อีกมากมาย
ยังมีเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับ BMW ติดตามได้ที่เว็บไซต์ BMW Thailand , Facebook : BMW Thailand และ Youtube : BMW Thailand
#BMW #BMWTH #BMWi #BornElectric #JOYisBMW #สุนทรียภาพแห่งการขับขี่