ช่วง 2-3 วันมานี่ คนกรุงเทพฯและปริมณฑลเดือดร้อนกันหนักเลยนำมาเขียนแนะนำ สั้นๆ ให้อ่านและจำกันง่ายๆ อีกครั้ง.
1, ตรวจสอบเส้นทางจากระบบนำทางผ่านดาวเทียมก่อนออกเดินทาง วิ่งอ้อมเปลืองเชื้อเพลิง แต่ยังดีกว่ารถเสียจมน้ำ
2, เชื้อเพลิงไม่ควรเหลือต่ำกว่าครึ่งถังเสมอ
3, รถยนต์ทุกคันในโลกขับลุยน้ำได้ลึกไม่เกิน "ระดับพื้นรถ" หรือ พื้นห้องโดยสาร (ยกเว้นรถ 4x4 Off-Road ทั้งรถกระบะ ทั้งรถ SUV ลุยน้ำได้สูงไม่เกินระดับท่อกรองอากาศเครื่องยนต์ แม้น้ำจะเข้าในห้องโดยสาร)
*** ข้อนี้ อย่าไปจำว่า รถขับลุยน้ำได้ ลึกกี่มิลลิเมตร หรือ กี่เซนติเมตร เพราะเวลาเราขับรถ เราสังเกตุหยั่งรู้ไม่ได้ว่า ลึกแค่ไหน โดยเฉพาะ ถนนที่เป็นลูกรัง โคลน ล้อรถจะ ขุดวิดพื้นดิน ให้รถจมลงมากขึ้น
4, ขับลุยน้ำช้าๆ ความเร็วเท่ากับคนเดิน(Walking Speed) เพื่อไม่ให้น้ำทะลักเข้าปากท่อไส้กรองอากาศเครื่องยนต์
*** น้ำเข้าไส้กรองอากาศเครื่องยนต์(ไอดี) เครื่องยนต์จะดับและพังเสียหายทันที อาจต้องเปลี่ยนเครื่องฯใหม่ เทียบได้กับ เราสำลักน้ำ หรือน้ำเข้าทางเดินหายใจของเรา
*** น้ำท่วมเข้าท่อไอเสีย เครื่องยนต์ไม่ดับไม่พัง เพราะน้ำเข้าไปได้แค่ท่อพักไอเสีย ไม่ใช่สาเหตุสำคัญเท่ากับ น้ำเข้าท่อไอดี(ไส้กรองอากาศ)
*** โอกาสที่น้ำจะเข้าไส้กรองอากาศ ก็คือ ส่วนหน้าของรถจมน้ำ เช่น ทิ่มหน้าลงเชิงสะพานชัน, รถใหญ่วิ่งสวนทางดันน้ำเป็นคลื่นใหญ่เข้าหาหน้ารถเรา, เหยียบคันเร่งพรวดพราดขณะลุยน้ำ, ฯลฯ เป็นต้น
*** เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เช่น ที่ทำงาน ที่พักอาศัย หรือแม้กระทั่งปั้มน้ำมันฯ แนะนำให้ "เปิดไส้กรองอากาศ" เครื่องยนต์ออกตรวจดูว่า "ชุ่มน้ำ" หรือไม่?
ถ้าไส้กรองอากาศเปียกชุ่มน้ำ ควรสลัดให้น้ำออกไปบ้าง ระวังปัญหาน้ำเข้าในตัวเครื่องยนต์(ไอดี)ให้มากขึ้น และควรเปลี่ยนใหม่โดยเร็ว.
ถูก/ผิดอย่างไรลองพิจารณากันดูนะครับ
พีระพงษ์ กลั่นกรอง
Sept 07th, 2022