การเปิดตัว ยาริส เอทีฟ เจเนอเรชันที่ 2 ของค่ายยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดอีโคคาร์ไม่น้อยเหตุจากยอดจองรถมีตัวเลขเป็นหลักหมื่นเพียงแค่ไม่ถึงเดือน ทั้งนี้เกิดจากหน้าตาดีไซน์ใหม่โดนใจ ออปชั่นที่อัดมาจนล้น รวมถึงราคาที่ไม่แรงอย่างที่คิด จึงทำให้ ยาริส เอทีฟ ปังมากในตอนนี้
สำหรับราคาที่โตโยต้าเปิดตัวออกมาทั้งหมด 4 รุ่นย่อย เริ่มจาก SPORT ราคา 539,000 บาท,SMART ราคา 584,000 บาท,PREMIUM ราคา 659,000 บาท และPREMIUM LUXURY ราคา689,000 บาท ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่ามากหากเทียบกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่โตโยต้าใส่เข้ามาให้ พร้อมกันนี้ยังมีตัวชุดแต่งเข้ามาเสริมให้ลูกค้าได้เลือกเพิ่มเติม
บวกกับทางฝ่ายการตลาดและวิศวกรบอกกล่าวก่อนที่สื่อมวลชนจะออกไปทดลองขับ ยาริส เอทีฟ ว่าได้ทำการสำรวจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการมีรถคันแรก อายุประมาณ 30 ต้น พบว่าลูกค้าต้องการรถที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาและสามารถใช้งานได้ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ดังนั้นการพัฒนารถคันนี้ทางโตโยต้าเลยยึดหลัก 3 อย่างเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้ าคือ 1.PROUDFUL เป็นเจ้าของอย่างภาคภูมิใจ 2.COMFORTABLE ความสะดวกสบาย และ3. AFFORDABLE ความคุ้มค่า
แม้ผู้เขียนจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่หากจะเปลี่ยนรถ “ยาริส เอทีฟ” เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะราคาไม่แพงมากนัก จับต้องได้ แต่ก่อนจะตัดสินใจเมื่อมีโอกาสได้ลองขับก็ต้องจัดสักหน่อย
เส้นทางที่โตโยต้าจัดให้สื่อมวลชนทดสอบบนถนนจริง ใช้งานจริง ตามเส้นทาง กรุงเทพ-พัทยา วิ่งไปบนถนนมอเตอร์เวย์กับสื่อมวลชนอีกหนึ่งท่าน ก็ต้องบอกว่า แรงม้าแรงบิดที่เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง บวกกับตัวรถที่เบาขึ้น ส่งผลให้การออกตัวดี มีความกระชับกระแชงกว่ารุ่นเดิม ตอนเร่งแซงมั่นใจมากขึ้น บวกกับพวงมาลัยที่ปรับมาใหม่กระชับในช่วงความเร็วไม่สูงมากนักแต่เมื่อใช้ความเร็วมากกว่า 120 กิโลเมตร ต้องใช้สมาธิประคองพวงมาลัยนิดหน่อย เหมือนมันจะเบา ๆ ลอย ๆ ทำให้ต้องผ่อนความเร็วลงมาในระดับพอเหมาะสมกับคอนเซ็ปต์รถ อีโคคาร์ ก็ถือว่า พละกำลังที่ให้มาพอตัว ขับเรื่อย ๆ ใช้ในเมืองน่าจะตอบโจทย์ได้ดี ขณะที่ช่วงล่างนุ่มนวลกว่าเดิม ช่วงใช้ความเร็วรู้สึกถึงความหนึบขึ้น ระบบช่วยเหลือในการขับขี่ต่าง ๆ ในสภาพรถติดช่วยได้ดี
เรื่องของความประหยัดต้องบอกว่าวิ่งแบบกดทำตัวเลข 17Km/L ได้อยู่ แต่ขากลับขับแบบเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ทำตัวเลขได้ถึง 20 Km/L ถือว่าเป็นตัวเลขดีทีเดียว
สำหรับเครื่องยนต์อย่างที่บอกตอนต้นมีปรับเล็กน้อย เบนซินขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-VE แบบ 4 สูบแถวเรียงDOHC 16 วาล์วDual VVT-iE กำลังสูงสุด 94 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที (เพิ่มขึ้น 2 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด110 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที (เพิ่มขึ้น 1 นิวตันเมตร) ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติSuper CVT-i พร้อมSequential Shift ที่สำคัญน้ำหนักเบาลง 18 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยมีน้ำหนักรวมทั้งหมด 1,057 กิโลกรัม ระยะฐานล้อยาวขึ้น 70 มม.เป็น 2,620 มม. ยาวที่สุดในกลุ่มอีโคคาร์
ระบบช่วงล่าง หน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังแบบทอร์ชันบีมและคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 16 นิ้วพร้อมยางขนาด 195/65R16 ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
ระบบไฟหน้าแบบ Full LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED และ ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ไฟท้ายLED เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย และเฉพาะรุ่น Premium Luxury และPremium ไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ Sequential ครั้งแรกในรถอีโคคาร์ ขณะที่ระบบเบรก เป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อในรุ่นPremium Luxury และ Premium ส่วนรุ่นSmart และ Sport เป็นแบบหน้าดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก
สำหรับภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่ ดูหรูหรา โดยรุ่นท็อปสุด PREMIUM LUXURY จะเป็นเบาะหนังแท้สลับหนังสังเคราะห์สีแดง เห็นแล้วรู้สึกเหมือนกำลังขับรถสปอร์ตราคาแพง, พวงมาลัยหุ้มหนัง,ไฟภายในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี ส่วนรุ่นSPORT เบาะนั่งเป็นวัสดุผ้า ขณะที่ในรุ่น SMART และPREMIUM จะเป็นหนังสังเคราะห์สลับกับผ้า ส่วนเบาะด้านหลังในฐานะที่เราเป็นผู้หญิงตัวไม่ใหญ่มากนักก็นั่งสบายอยู่ แต่ถ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่และสูงอาจลำบากนิดหนึ่งเพราะด้วยตัวถังที่ออกแบบFASTBACK ที่ท้ายจะลาดลงมา ซึ่งเราก็ถามสื่อมวลชนท่านอื่นที่มีความสูงเกิน175 บอกว่านั่งลำบากอยู่หัวเกือบติดเพดาน
มาตรวัดแบบดิจิทัลหน้าจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว และเครื่องเสียงแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ได้รับการติดตั้งในรุ่น Premium Luxury, Premium และSmart ส่วนรุ่นSport เป็นมาตรวัดแบบธรรมดาและหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว โดยทุกรุ่นรองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบโทรออกด้วยเสียงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกรุ่นติดตั้งระบบ Smart Entry และปุ่ม Push Start, T-Connect,
ความพิเศษที่ได้สัมผัสในฐานะที่เป็นผู้หญิงขับรถคือกระจกแต่งหน้าบานใหญ่บริเวณแผงบังแดดด้านคนขับถูกใจตรงที่ใหญ่
อย่างที่สองที่วางแก้วน้ำ4 ตำแหน่ง อยู่ในตำแหน่งที่วางได้สะดวกทั้งด้านหน้าและหลังและขนาดก็พอดีกับแก้วที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันด้วย สาม ระบบกรองฝุ่น PM 2.5พร้อมแจ้งเตือนสถานะระดับฝุ่นภายในห้องโดยสารได้ด้วย สี่ ช่องต่อ USB4 ช่องและห้าพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรถเป็นสัดส่วนมากขึ้น ทำเป็น 2 ชั้น เพราะอาจมีของบ้างอย่างไม่อยากให้ใครเห็นก็ซ่อนไว้มีแผ่นกั้นถือว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก
ส่วนเรื่องหน้าตาก็แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหนแต่หากถามผู้เขียนก็ถือว่าผ่านนะ ดูดี หล่อเหลาเหมือนพรีเซนเตอร์แหละ
ส่วนระบบความปลอดภัยต้องบอกว่าจัดมาหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ และระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมระบบกรองฝุ่น PM 2.5 มีเฉพาะในรุ่นPremium Luxury และPremium
ระบบเสริมความปลอดภัยToyota Safety Sense โดยมีระบบ ป้องกันล้อล็อก, ระบบกระจายแรงเบรก, ระบบเสริมแรงเบรก,ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี,ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ถุงลมนิรภัย6 ตำแหน่ง คู่หน้า/ด้านข้าง/ม่านด้านข้าง สัญญาณเตือนกะระยะ6 ตำแหน่ง และ เซ็นทรัลล็อก พร้อมSpeed Auto Lock เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย
สำหรับระบบความปลอดภัยก่อนการชน, ระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ,ระบบเตือนเมื่อคันหน้าออกตัว,ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธีจะมีเป็นมาตรฐานในรุ่นPremium Luxury, Premium และSmart
ขณะที่ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้างระบบช่วยเตือนถอยจอด ระบบไฟสูงอัตโนมัติ และกล้องมองภาพรอบคัน มีเฉพาะรุ่น Premium Luxury และPremium โดยรุ่น Smart จะมีกล้องมองหลังโดยทุกรุ่นจะได้รับการติดตั้งกล้องบันทึกภาพหน้ารถเป็นมาตรฐานจากโรงงาน แค่ระบบความปลอดภัยที่จะมาให้ในอีโคคาร์คันนี้ก็เกินคุ้ม
ถึงบรรทัดนี้สรุปได้ว่ายาริส เอทีฟ เป็นรถอีโคคาร์ที่น่าจับจองเป็นเจ้าของ ด้วยราคา ออปชันที่เสริฟมาให้ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม การขับขี่ก็แนวรถเครื่องเล็กประหยัด ขับแบบชิล ชิล ไปเรื่อย ๆตอบโจทย์รถคันแรกที่ขับแล้วรู้สึก ภูมิใจ สะดวกสบาย คุ้มค่า ตามแนวพัฒนารถคันนี้ของทีมผู้สร้างรถ ยาริสเอทีฟ ได้เป็นอย่างดี