xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกากับก้าวย่างที่มั่นคงในตลาด EV

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนในด้านยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กแล้ว ดูเหมือนตลาดสหรัฐอเมริกาจะออกตัวและก้าวเดินช้ากว่าคู่แข่งอย่างจีนหรือตลาดรวมในยุโรปตะวันตก จนทำให้ตัวเลขยอดขายไม่เดินหน้าหรือพุ่งไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2022 ดูเหมือนว่าสัญญาณที่ดีในแง่ความต้องการของรถยนต์พลังไฟฟ้าในตลาดแห่งนี้เริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกากลับมาถูกจับตามองอีกครั้ง ในฐานะของตลาดที่กำลังพุ่งแรงสำหรับรถยนต์ประเภทนี้

ปัจจัยหลากหลายส่งผลกระทบต่อการเติบโต

เมื่อเปรียบเทียบกับจีนและยุโรปตะวันตกแล้ว ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกายังถือว่ามีตัวเลขที่ไม่มากนัก ซึ่งเหตุผลนอกเหนือจากเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว ปัจจัยที่มีผลอย่างมากคือ ทางเลือกของผลิตภัณฑ์มีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เช่นเดียวกับการที่ผู้ผลิตรถยนต์อเมริกัน เช่น GM, Ford และ Chrysler ออกตัวในตลาดประเภทนี้ช้ามาก รวมถึงระบบพื้นฐานสำหรับรองรับกับความต้องการใช้รถยนต์แบบเสียบปลั๊ก โดยเฉพาะแท่นชาร์จสาธารณะก็ยังมีอัตราส่วนต่อประชากรค่อนข้างน้อยมาก จากตัวเลขของปี 2021 พบว่าในยุโรปเมื่อดปรียบเทียบกับประชากร 100,000 คนแล้วแท่นชาร์จสาธารณะจะมีตัวเลขอยู่ที่ 62 จุด ในขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 37 จุดต่อประชากร 100,000 คนเท่านั้น โดยที่มี 4 เมืองใหญ่เท่านั้นที่มีจำนวนแท่นชาร์จจำนวนเยอะ นั่นคือ บอสตัน ซีแอตเทิล แอลเอ และเดนเวอร์ ทั้งที่ผู้ให้บริการแท่นชาร์จสาธารณะในโลกนี้มีอยู่ราวๆ 300 แห่ง และ 1 ใน 3 เป็นบริษัทอเมริกัน

นอกจากนั้น อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาขยายตัวค่อนข้างช้ากว่าคู่แข่งคือ นโยบายจากภาครัฐ ซึ่งตลาดแห่งนี้เพิ่งมีความชัดเจนในเชิงนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าก็เมื่อเข้าสู่ยุคของประธานาธิบดี Joe Biden ซึ่งสนับสนุนและผลักดันให้มีการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าในหน่วยงานของภาครัฐ เช่นเดียวกับการออกนโยบายในเรื่องการสนับสนุนผู้ซื้อรถยนต์พลังไฟฟ้าด้วยการให้เงินอุดหนุนและได้รับการยกเว้นทางด้านภาษี เพื่อให้มีราคาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ เช่นเดียวกับการประกาศขยายแท่นชาร์จสาธารณะให้มีเพิ่มขึ้น

อย่าล่าสุด ทางภาครัฐก็เพิ่งออกนโยบายในการให้เงินอุดหนุนและการยกเว้นภาษีกับรถยนต์พลังไฟฟ้าและรถยนต์แบบ PHEV ที่อยู่ในเกณฑ์เพิ่มขึ้นอีก 20 รุ่นภายในสิ้นปีนี้โดยรถยนต์ที่ได้รับการยกเว้นเหล่านี้จะต้องเข้าเกณฑ์ข้อกำหนดต่างๆ และจะต้องได้รับการผลิตจากโรงงานที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ตลาดโตขึ้น แม้จะช้าและชัวร์

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเมื่อเข้าสู่ปี 2022 สถานการณ์ของรถยนต์แบบเสียบปลั๊กในสหรัฐอเมริกาเริ่มเปลี่ยนไป และมีสัญญาณที่ดีเพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากการสำรวจของ Consumer Reports พบว่าผู้ขับในแห่งนี้มีความสนใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
จากการสำรวจคนอเมริกันทั่วประเทศจำนวน 8,027 คนพบว่า 71% มีความสนใจในการซื้อหรือเช่ารถไฟฟ้า ซึ่งจากผลสำรวจ 71% นั้น แบ่งเป็น 35% มองว่าจะนำไปพิจารณาต่อ 22% จะพิจารณาอย่างจริงจัง และ 14% มองว่าจะเลือกใช้อย่างแน่นอน โดยถือว่าเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจจากปี 2020 ที่มีเพียง 4% เท่านั้นที่ให้คำตอบว่าจะเลือกใช้รถไฟฟ้า

แน่นอนว่าเทรนด์ของตลาดเป็นส่วนหนึ่ง แต่ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้ตอบแบบสำรวจหันมาสนใจมากขึ้นคือเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จากเดิมประมาณ 3.34 - 3.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน แต่ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4.48 เหรียญสหรัฐ ต่อแกลลอน และคนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าจะช่วยทำให้พวกเขาประหยัดค่าใช้จ่าย โดยจาก 33% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการชาร์จไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเติมเชื้อเพลิงหรือน้ำมัน ส่วน 31% กล่าวถึงเรื่องต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของที่ต่ำกว่า และอีก 28% กล่าวถึงด้านค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า

จากการเปิดเผยของ Caranddriver.com ระบุว่าแนวโน้มและทิศทางในด้านยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องปัญหาเรื่องราคาพลังงานที่สูงขึ้น ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาทางเลือกอื่นที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น และจำนวนรุ่นรถยนต์พลังไฟฟ้าใหม่ๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้สัดส่วนยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 อยู่ในระดับ 4.6% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์สำหรับตลาดที่นี่

แม้เมื่อดูจากตัวเลขเมื่อเปรียบเทียบกับนอรเวย์ ซึ่ง 86% ของรถยนต์ใหม่ที่ถูกขายเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าแล้วอาจจะต่างกันลิบลับ แต่ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างของตลาดสหรัฐอเมริกา ทำให้เชื่อว่ายังไงตลาดแห่งนี้จะต้องมีความสำคัญสำหรับรถยนต์เสียบปลั๊กอย่างแน่นอน เพียงแค่ช่วงนี้ออกตัวช้ากว่าตลาดแห่งอื่นเท่านั้นเอง

เพราะ 1% ของส่วนแบ่งในตลาด ก็ถือว่ามียอดขายระดับกว่าแสนคันแล้ว ซึ่งจากตัวเลขช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 พบว่า ในตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกามียอดขายอยู่ที่ 158,689 คัน โดยที่น่าสนใจคือ Tesla ยังครองส่วนแบ่งตลาดหลักในระดับกว่า 70% ด้วยยอดขายมากกว่า 113,000 คัน


ไม่ใช่ส่วนตัว ผู้ประกอบการรถเช่าก็เริ่มขยับตัว

เมื่อเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป และเริ่มมีการเปิดใจยอมรับรถยนต์พลังไฟฟ้ากันมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรถยนต์เช่าก็เริ่มหันมามองโอกาสในการเข้าถึงความต้องการใช้งานของลูกค้ามากขึ้น ที่สำคัญนักวิเคราะห์เชื่อว่าสิ่งนี้คืออีกปัจจัยที่น่าจะช่วยเร่งให้การเติบโตด้านยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้าไปได้เร็วขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มตัวเลขในการขายแล้ว ยังถือเป็นพื้นที่ที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนขับรถได้ทดลองขับหรือใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อจริง

มีรายงานว่า Autonomy บริษัทให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่อเมริกา ประกาศสั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มกว่า 23,000 คันจาก 17 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อความหลากหลายเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าและตอบโจทย์ต่อความต้องการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้และในอนาคต ซึ่งมูลค่าการสั่งซื้อรถไฟฟ้ารอบนี้ประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะคละรุ่นต่างๆเพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้ากว่า 45 รุ่นจาก 17 แบรนด์ประกอบด้วย BMW, Canoo, Fisker, Ford, General Motors, Hyundai, Lucid, Mercedes-Benz, Polestar, Rivian, Stellantis, Subaru, Tesla, Toyota, VinFast, Volvo และ Volkswagen โดย 36% ของยอดสั่งซื้อนั้นเป็นรถยนต์ของ Tesla

นอกจากนั้น บริษัทรถเช่าแห่งอื่นๆ ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก เช่น Hertz, Sixt และ Rhinocarhire ต่างก็มีรถยนต์พลังไฟฟ้าเป็นตัวเลือกให้เช่าใช้สำหรับลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกา รวมถึงบริษัทรถยนต์เช่าระดับหรูที่ให้บริการในเขต New York อย่าง Joulez ก็มีให้บริการรถเช่าระดับ Luxury Car ให้กับลูกค้าด้วย

ณ ตอนนี้ มีการประมาณว่าจากจำนวนรถยนต์บนท้องถนนในสหรัฐอเมริกา 250 ล้านคันจะมี 1% ที่เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า แต่ด้วยความพยายามในหลายส่วนโดยเฉพาะทางภาครัฐ พวกเขามีเป้าหมายที่จะต้องเดินหน้าไปให้ถึง ซึ่งภายในปี 2030 จำนวนรถยนต์ใหม่ที่ขายในตลาดสหรัฐอเมริกาจะต้องมี 20-30% เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า และจะต้องเพิ่มเป็น 40-45% ภายในปี 2035 และมีการประเมินว่าจะต้องใช้เวลาอีก 30 ปีในการเพิ่มจำนวนประชากรรถยนต์พลังไฟฟ้าบนท้องถนนจาก 1% ในปีนี้ให้เป็น 50% ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความท้าทาย แต่ถ้าทำสำเร็จอาจจะทำให้สหรัฐอเมริกากลับมาเป็นตลาดรถยนต์เบอร์ 1 ของโลกได้อีกครั้งเลยก็ได้



กำลังโหลดความคิดเห็น